วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

."เล่นเส้น” อุปกรณ์วาดเขียนสำหรับผู้พิการทางสายตา



^...“เล่นเส้น” อุปกรณ์วาดเขียนสำหรับผู้พิการทางสายตา...^



เล่นเส้น
          หากพูดถึงอุปกรณ์วาดเขียนแล้ว สำหรับคนปกติคงไม่รู้สึกพิเศษอะไร แต่ถ้าสำหรับผู้พิการทางสายตาหรือคนตาบอด การ “วาด” นี้อาจจะไม่ใช่กิจกรรมที่ปกตินัก เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อพวกเขาจรดปากกาหรือดินสอขีดๆ เขียนๆ ไปบนกระดาษแล้ว ผลงานที่ออกมานั้นมีน่าตาเป็นอย่างไร แต่วันนี้ได้มีอุปกรณ์จากฝีมือการพัฒนาจากคนไทย ที่จะทำให้กิจกรรมการ “วาด” นี้เป็นไปได้สำหรับคนตาบอด โดยเขาได้ตั้งชื่อให้อุปกรณ์วาดเขียนตัวนี้ว่า “เล่นเส้น”
          “เล่นเส้น” ประกอบด้วย ปากกาเล่นเส้น เป็นปากกาที่ทำมาจากไม้ยางพารา โดยใช้ไหมพรมแทนหมึก และตรงปลายปากกาจะมีตัวตัดไหมพรม (คล้ายๆ กับที่ตัดไหมขัดฟัน) ใช้สำหรับตัดเส้นไหม เมื่อวาดเสร็จ หรือกรณีที่ไม่ต้องการตัดไหม เมื่อวาดเสร็จแล้ว ตัวปากกาก็มีที่หมุน เพื่อนำไหมที่วาดลงไปแล้ว กลับมาใช้ใหม่ได้
          โดยปากกาเล่นเส้นนี้ต้องใช้งานคู่กับ สมุดเล่นเส้น ซึ่งเป็นสมุดขนาดใหญ่ปิดผิวด้วยแผ่น Easy Tape (เป็นวัสดุชนิดใหม่ ที่พัฒนามาจาก Velcro) หรือที่เราอาจจะรู้จักกันในชื่อ เทปตีนตุ๊กแก, เทปหนามเตย แต่มีพื้นผิวที่เรียบเนียนกว่าเพื่อความราบรื่นในการสัมผัส และยังคงคุณสมบัติที่เส้นไหมพรมยังสามารถยึดเกาะได้ดีเช่นเดิม
           เมื่อเด็กเริ่มวาดเส้นก็จะเกิดภาพที่มีความนูนจากความหนาของเส้นไหมพรม จึงทำให้พวกเขาสามารถสัมผัสภาพที่เป็นผลงานของพวกเขาเอง ทั้งในขณะวาดและหลังจากวาดเสร็จแล้วได้ ส่งผลให้เขาได้เรียนรู้ถึงรูปทรงต่างๆ ไปในตัว
           นอกจากใช้ในการวาดรูปทั่วๆ ไปได้แล้ว “เล่นเส้น” นี้ยังสามารถนำไปประยุกต์ในการใช้งานกับการศึกษาในวิชาต่างๆ เช่น ศิลปะ, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์ ได้อีกด้วย เนื่องจากโดยปกติวิชาเหล่านี้ก็ต้องการใช้สื่อการสอนที่เป็นภาพนูนหรือการวาดรูปประกอบเนื้อหาอยู่แล้ว ดังนั้นในมุมของสื่อการสอนผู้สอนก็จะมีเครื่องมือในการสร้างสื่อภาพนูนแบบง่ายๆ และสามารถทำได้ด้วยตัวเองทันที และในฝั่งของผู้เรียน (ในกรณีที่ต้องการวาดภาพ) แทนที่จะต้องใช้อุปกรณ์เลขาคณิตแบบเก่า (ซึ่งต้องใช้แผ่นยางมารองกระดาษ แล้วใช้การปรุรูลงไปบนกระดาษด้วยเข็มหมุด) ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนเข็มถิ้มนิ้วพอสมควร :( ก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ชุดวาดเขียน “เล่นเส้น” นี้แทนได้
ชุดวาดเขียนเล่นเส้น สำหรับเด็กพิการทางสายตา
ชุดวาดเขียนเล่นเส้น สำหรับเด็กพิการทางสายตา
ชุดวาดเขียนเล่นเส้น สำหรับเด็กพิการทางสายตา
ชุดวาดเขียนเล่นเส้น สำหรับเด็กพิการทางสายตา
ชุดวาดเขียนเล่นเส้น สำหรับเด็กพิการทางสายตา
ชุดวาดเขียนเล่นเส้น สำหรับเด็กพิการทางสายตา
ชุดวาดเขียนเล่นเส้น สำหรับเด็กพิการทางสายตา
เครดิตภาพจาก http://www.taejai.com/node/3319/gallery

ของเล่น...เล่นเพื่อพัฒนาเด็กพิเศษ


^...ของเล่น...เล่นเพื่อพัฒนาเด็กพิเศษ...^


         
นิยามของเล่นในมุมมองของคนทั่วไปมักจะนึกถึงแต่ของเล่นเพื่อเสริมพัฒนาการ เด็กทั่วๆ ไป เช่น ของเล่นเพื่อเสริมจินตนาการอย่างเลโก้ ของเล่นเพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือเช่นแป้งโดว์ หรือของเล่นเพื่อฝึกการคิดอย่าง Puzzles แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าของเล่นชนิดเดียวกัน ประเภทเดียวกันนั้น ถ้าเพียงแต่เปลี่ยนวิธีเล่นกลับขยายขอบเขตสามารถช่วยพัฒนาเด็กกลุ่มพิเศษ และเด็กถูกทำร้ายได้

ประโยชน์ของการเล่น
     * ด้านร่างกาย การที่ลูกได้ออกไปวิ่งเล่นนอกบ้าน ได้กระโดดโลดเต้น หรือปีนป่ายต้นไม้ กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยเรื่องกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรงและช่วยเรื่องการทรงตัว นอกจากนั้นยังช่วยเรื่องการทำงานประสานกันระหว่างกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ด้วย เช่น กล้ามเนื้อแขน ขา มือ และการประสานการทำงานระหว่างมือและตา เช่น ปั้นแป้งโดว์ พับกระดาษ เพ้นท์สี เป็นต้น
     * ด้านสติปัญญา ช่วงเวลาที่ลูกได้เล่น เช่น กำลังเล่นต่อไม้บล็อกลูกจะได้ฝึกใช้ความคิดสร้างสรรค์ว่าจะต่อเป็นรูปทรง อะไรดี รวมทั้งลูกจะได้ฝึกทักษะการแก้ปัญหา คิดวางแผน และทักษะการตัดสินใจช่วงขณะที่กำลังเล่นอยู่ ทักษะเหล่านี้ถ้าใช้และฝึกฝนบ่อยๆ จะเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องค่ะ
     * ด้านสังคม ถ้าเราให้โอกาสลูกได้เล่นกับเพื่อนข้างบ้าน หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน นอกจากลูกจะได้เรียนรู้ที่จะรอคอยเพื่อนคนอื่นๆ เขายังรู้จักที่จะให้ และรับอย่างเหมาะสม แถมยังรู้จักที่จะเข้าอกเข้าใจผู้อื่น และเชื่อมสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ค่ะ
     * ด้านอารมณ์ เวลาที่ลูกเราไม่สบายใจ กลัดกลุ้ม หรือคับข้องใจอะไรอยู่ และการเล่นจะช่วยให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย และลืมความกังวลใจดังกล่าวไปได้ บางครั้งถ้าลูกอารมณ์เสียหรือโกรธ ลูกจะมีโอกาสระบายความรู้สึกคับข้องใจออกไปด้วยวิธีการที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
     * ด้านจริยธรรม การเล่นต่างๆ จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์ และเวลาที่ลูกได้เล่นลูกจะเรียนรู้กฎเกณฑ์และเรื่องของจริยธรรมไปด้วยในตัว
     * ด้านภาษา เวลาที่ลูกเล่นกับเพื่อน ลูกต้องใช้ภาษาเพื่อสื่อสารกันในการบอกความต้องการให้เพื่อนรู้ นอกจากนั้นลูกยังได้ฝึกความเข้าใจภาษา เช่นภาษาท่าทาง และภาษากายระหว่างที่เล่นอีกด้วย
ของเล่นกับวัยของหนู
     การเลือกของเล่นสำหรับเด็กแล้ว ถ้าจะให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องเลือกให้เหมาะสมและสอดคล้องตามวัยค่ะ
          * เด็กวัย 0-1 ปี วัยนี้เป็นวัยที่ลูกต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างดี เพราะฉะนั้นถ้าเราตอบสนองความต้องการลูกได้อย่างเหมาะสม นอกจากจะทำให้ลูกเป็นเด็กมีความเชื่อมั่นแล้ว ลูกยังรู้สึกไว้วางใจโลกภายนอกเป็นอย่างดีด้วย ฉะนั้นของเล่นสำหรับเด็กวัยนี้สามารถเป็นแค่เพียงนิ้วมือของเราที่ให้ลูกจับ เล่น หรือโมบายสีสันสดสวย หรือกล่องเพลง เพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ให้ลูก
          * เด็กวัย 1-3 ปี เด็กเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้ ควบคุมการเดิน การพูด การขับถ่าย และเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งคนเลี้ยงดู ฉะนั้นของเล่นสำหรับเด็กวัยนี้อาจจะเป็นลูกฟุตบอลเพื่อให้ลูกได้ออกไปวิ่ง เล่นในสนามนอกบ้าน หรือเราอาจจะปล่อยให้เขาได้เล่นกับของเล่นตามธรรมชาติอย่างใบไม้ ก้อนหิน ดิน ทราย น้ำ ฯลฯ ก็ได้ค่ะ
          * เด็กวัย 3-5 ปี เด็กวัยนี้เริ่มอยากรู้อยากเห็น ช่างซักช่างถาม มีจินตนาการสูง มีพัฒนาการทางอารมณ์ซับซ้อนมากขึ้น เริ่มเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันได้ดีขึ้น ดังนั้นถ้าเราปล่อยให้เขาได้เล่นกับเพื่อน อย่างเล่นตุ๊กตาด้วยกัน เล่นต่อไม้บล็อก หรือปั้นแป้งโดว์เป็นรูปสัตว์ต่างๆด้วยกัน ฯลฯ จะช่วยพัฒนาการทางสังคม พัฒนาการทางภาษาได้เป็นอย่างดีค่ะ
เด็กพิเศษ..สำคัญที่วิธีเล่น
     คุณครูสุขจันทร์ สุขประกอบ อาจารย์ที่ปรึกษาโครงการส่งเสริมพัฒนาการสำหรับเด็กที่ต้องการช่วยเหลือ พิเศษโรงเรียนจิตตเมตต์ (ปฐมวัย) และโรงเรียนเพลินพัฒนาบอกว่า แม้ของเล่นของเด็กปกติกับเด็กพิเศษจะเหมือนๆกัน แต่ต่างกันตรงที่ "วิธีการเล่น"ค่ะ ซึ่งเด็กพิเศษแต่ละกลุ่มก็มีความต้องการในการเล่นต่างกัน และความถนัดไม่เหมือนกัน เราจึงต้องดูว่าเด็กพิเศษคนนั้นๆสนใจอะไร และต้องการความช่วยเหลืออย่างไร
     ดังนั้นถ้าจะเลือกของเล่นให้เด็กกลุ่มนี้ควรเลือกให้ตรงตามความถนัดและความ สนใจของเขาเป็นหลัก เช่น เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย การใช้มือไม่แข็งแรง การประสานสัมพันธ์ของมือและตา และการเคลื่อนไหวไม่สะดวก จึง ควรพิจารณาเลือกใช้ของเล่นที่ใช้วัสดุและขนาดที่ไม่หลุดมือได้ง่าย
     เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านสติปัญญาในระดับหนัก ไม่ตอบสนองต่อสิ่งรอบตัว อาจจะชอบหรือสนใจเสียงดนตรี จึงควรเลือกใช้กล่องเพลง หรือของเล่นที่มีเสียงกระตุ้นเร้าความสนใจให้เด็กมีการตอบสนอง ส่วนเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นก็ต้องการของเล่นที่มีเสียงเช่นเดียว กัน
     ครูสุขจันทร์เล่าว่า ของเล่นสำหรับเด็กพิเศษสามารถเป็นของเล่นที่เราประดิษฐ์ขึ้นเองก็ได้ หรือของเล่นตามธรรมชาติ เช่น ก้อนหิน ดิน ทราย ใบไม้ หรือของเล่นที่ซื้อหาได้ตามท้องตลาด ทั้งนี้อาศัยแค่เพียงความเข้าใจและใช้เทคนิควิธีการสอนด้วยการใช้ของเล่น เป็นสื่อการสอนสำหรับเด็กพิเศษแต่ละคนให้เหมาะสมเท่านั้น
"สมมติว่าเด็กคนหนึ่งกล้ามเนื้อมือเขาไม่ค่อยแข็งแรง ตรงนี้เราต้องมาดูว่าของเล่นอะไรบ้างที่จะช่วยฝึกเรื่องกล้ามเนื้อมือให้เขา พอคิดขึ้นได้ว่ามีพวกดินเหนียว แป้งโดว์ ทราย ฯลฯ เราก็มานึกต่อว่าแล้วจะทำอย่างไรให้เด็กคนนั้นเกิดการเรียนรู้อย่างกระตือ รือร้น
     ดังนั้นเราอาจจะเอาของเล่น เช่น เรือลำเล็กๆของเล่นที่เป็นไม้ หรือพลาสติกมาลอยน้ำแล้วให้เขาลองหยิบของเล่นที่ลอยน้ำนั้นขึ้นมาดู เขาจะรู้สึกสนุกที่จะเรียนรู้ และจะได้รับการฝึกเรื่องกล้ามเนื้อมือไปด้วยในตัว
     นอกจากจะนำของเล่นมาลอยน้ำแล้ว เรายังสามารถนำของเล่นชิ้นดังกล่าวไปลองใส่ลงในทราย หรือข้าวสารที่ใส่อยู่ในกะละมัง ต่อจากนั้นให้เด็กใช้มือควานหาของเล่น เขาจะรู้สึกสนุกที่จะหา เกิดการเรียนรู้เรื่องผิวสัมผัส และยังได้ฝึกกล้ามเนื้อมือไปด้วยในตัว ฉะนั้นของเล่นจะเป็นอะไรก็ได้ขอเพียงแต่เราต้องรู้เสียก่อนว่าเขามีความ บกพร่องในด้านใด แล้วเราต้องการพัฒนาทักษะด้านใด และที่สำคัญจะต้องให้เขาเรียนรู้อย่างมีความสุข"
     เด็กที่มีพัฒนาการเป็นปกติ เมื่อเห็นของเล่นก็จะหยิบมาเล่นอย่างมีจินตนาการ หรือเล่นบทบาทสมมติได้ตามวัย แต่สำหรับเด็กออทิสติกนั้นมีความผิดปกติทางพัฒนาการในด้านสังคม ภาษา และการสื่อสาร มีความผิดปกติทางด้านการเล่น และจินตนาการ เช่น ไม่มีจินตนาการในการเล่น เล่นสมมติไม่เป็น ไม่สามารถแยกแยะระหว่างเรื่องจริงกับเรื่องสมมติ ชอบเล่นคนเดียว ไม่ชอบเข้ากลุ่ม เขาอาจจะเล่นของเล่นที่แตกต่างไปจากเด็กอื่นๆ เช่น หยิบของเล่นมาส่องดู จ้องมองนานๆ หยิบของเล่นหมุนไปหมุนมา ครูจึงต้องชักชวนหรือสอนให้เล่นของเล่นเป็น
     ส่วนเด็กที่มีสมาธิสั้นก็อาจจะเล่นของเล่นแต่ละอย่างได้ไม่นาน วิ่งไปหยิบจับสิ่งของต่างๆรอบตัวตลอดเวลาจึงไม่สามารถเล่น หรือทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้สำเร็จได้ ดังนั้นการนำของเล่นอย่างการร้อยลูกปัด การต่อจิ๊กซอว์ การปั้นดิน การเล่นทราย เล่นน้ำ ฯลฯ จะช่วยฝึกเรื่องสมาธิให้เขาได้ เขาจะเริ่มจดจ่ออยู่กับของเล่นที่ชอบและสนใจได้นานมากขึ้น และเมื่อเขาทำได้สำเร็จ อย่าลืมให้คำชมเชยหรือการกอด เพื่อจะช่วยเป็นกำลังใจและรางวัลที่ดีให้เขาได้ทางหนึ่ง
     "จากประสบการณ์การสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสติปัญญา ตั้งแต่เล็กจนถึงปัจจุบันได้ใช้ของเล่นต่างๆไม่ว่าจะเป็นของเล่นที่ประดิษฐ์ ขึ้นเอง ของเล่นจากธรรมชาติ หรือของเล่นที่ซื้อหาได้ตามท้องตลาด เพื่อใช้เป็นสื่อการสอนในการฟื้นฟูสมรรถภาพและส่งเสริมพัฒนาการ ขณะนี้เขาสามารถวาดรูปได้สวยมาก อ่านออกเขียนได้ และพูดสื่อสารได้
     มิติของของเล่นชิ้นหนึ่งๆ มิได้มีเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ไม้บล็อก เราสามารถนำมาเล่นเพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือ หรือฝึกเรื่องสี เรื่องขนาด และจำนวนก็ได้ สมมติว่าลูกของเราสนใจที่จะต่อไม้บล็อก เราสามารถชักชวนให้ต่อไม้บล็อคเป็นรูปทรงต่างๆ ซึ่งอาจจะชวนให้วาดรูปไม้บล็อกที่ต่อแล้วนั้น หรือเอาไม้บล็อคมาสอนเรื่องสี ขนาด รูปทรง หรือถ้วยเรียงลำดับขนาดต่างๆ ดังนั้นเราสามารถให้ลูก ตัก ตวง เทข้าวสาร น้ำ ทราย หรือจับคู่สี ขนาดของถ้วยน้ำ ซึ่งการเล่นที่หลากหลายแบบนี้เป็นการขยายความคิดให้ลูกมีความคิดสร้างสรรค์ มากขึ้นด้วย"
PLAY THERAPY
     Play Therapy หรือการบำบัดจิตด้วยการเล่น ถือเป็นการรับรู้ความในใจของเด็กผ่านการที่ให้เขาได้เล่น ซึ่งเด็กทุกคนที่มีเรื่องราวค้างคาในใจโดยเฉพาะเรื่องขุ่นข้องหมองใจ เช่น รู้สึกถูกทอดทิ้ง หรือถูกทำร้ายทางร่างกายมา ฯลฯ ทั้งหมดจะเปิดเผยออกมาขณะที่เขากำลังเล่นอยู่
     ถ้าเราไปถามว่าลูกรู้สึกคับข้องใจอะไร บางครั้งเด็กในวัยเล็กๆ จะไม่สามารถอธิบายความกังวลนี้ออกมาเป็นคำพูดได้เหมือนผู้ใหญ่ ผศ.พญ.สุวรรณี พุทธิศรี จิตแพทย์เด็กประจำรพ.รามาธิบดี ให้คำแนะนำว่า การปล่อยให้เด็กได้เล่น เช่น วาดรูป หรือเล่นตุ๊กตา หรือเล่นของเล่นทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการใช้จินตนาการ เช่น หุ่นมือ บ้านตุ๊กตา บทบาทสมมติ กะบะทราย ฯลฯ จะช่วยบอกความในใจได้ว่าตอนนี้เขารู้สึกอะไรอยู่
     ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ มีเด็กคนหนึ่งถูกส่งตัวเข้ามารับการรักษาด้วยอาการก้าวร้าว พอปล่อยให้เด็กได้เล่น และนั่งวาดรูปไปได้สักพัก รูปวาดดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเด็กคนนั้นถูกทำร้ายมา โดยรายละเอียดในรูปจะเป็นลักษณะบ้านที่มีบันไดขึ้นไปบนบ้าน ซึ่งถ้ามองในมุมมองของจิตแพทย์แล้วสามารถตีความรูปนั้นๆ ออกมาได้ว่าเป็นรอยแตกร้าวของบ้าน หรือบันไดบ้านก็ได้ และเมื่อปล่อยให้เด็กคนนั้นวาดรูปต่อไปเรื่อยๆ โดยคุณหมอได้ถามถึงที่มาที่ไปของรูปนั้นๆ ในท้ายสุดจึงได้ความว่าเด็กถูกทำร้ายด้วยหัวเข็มขัดจากพ่อของตัวเอง
     จากตัวอย่างดังกล่าวคุณหมอสุวรรณีสรุปว่า การเล่นของเด็กคนหนึ่งนอกจากจะช่วยให้เรารู้ความในใจที่อาจทำร้ายเขาอยู่ แล้ว ยังช่วยให้เขาได้เยียวยาบาดแผลของตัวเองออกไปจากตัวด้วยค่ะ
     "การเล่นของเด็กถือเป็นการเปิดใจ คือเปิดเผยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ อย่างเด็กคนหนึ่งอาจจะไปหาหมอแล้วถูกหมอฉีดยา พอกลับไปบ้านอาจจะเล่นตุ๊กตาโดยคราวนี้ตัวเองเป็นหมอแทนบ้างแล้วฉีดยาคนไข้ ตรงนี้เด็กผันตัวเองจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่คั่งค้างในใจเขา และเมื่อเขาได้เล่นนั่นเท่ากับเป็นการรักษาไปในตัว"
     คุณหมอสุวรรณียังได้ยกตัวอย่างเด็กซึ่งไม่ได้ถูกทำร้ายทางด้านร่างกาย แต่ถูกทำร้ายจิตใจซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากกว่าด้วยว่า การเล่นจะเข้ามาช่วยบำบัดเขาได้อีกทางหนึ่ง เช่น เด็กคนหนึ่งมารับการรักษาด้วยเหตุผลของความก้าวร้าว ซึ่งขณะที่บำบัดคุณหมอได้เฝ้าสังเกตดูว่าเด็กคนนั้นจะเล่นตุ๊กตา โดยมีเหตุการณ์ซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น ตุ๊กตาที่ว่ามีด้วยกัน 5 ตัวคือพ่อแม่และลูกทั้งสามคน ซึ่งขณะที่ตุ๊กตาพ่อและแม่ยุ่งกับธุระส่วนตัวของตัวเองอยู่ ตุ๊กตาลูกคนโตจะพยายามเล่นกับตุ๊กตาน้องคนกลาง แต่ตุ๊กตาน้องคนกลางไม่อยากเล่นด้วยจึงไปเล่นกับตุ๊กตาน้องคนเล็กแทน ทำให้ตุ๊กตาคนโตถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวอยู่อย่างนั้น
     จุดนี้คุณหมอพอจะคาดเดาจากเหตุการณ์ได้ว่า เด็กคนที่กำลังเล่นตุ๊กตาอยู่อาจจะรู้สึกถูกทอดทิ้ง ด้วยเหตุนี้จึงลองพูดกับเด็กว่าควรจะทำอย่างไรกับตุ๊กตาตัวพี่ เด็กเขาจะพยายามหาคำตอบด้วยตัวเองผ่านการชี้แนะเล็กๆ น้อยๆจากคุณหมอว่า ตุ๊กตาตัวพี่น่าจะไปเล่นกับตุ๊กตาตัวน้องๆ ทั้งสอง ซึ่งหลังจากที่เด็กได้เล่น และหลังจากที่คุณหมอแนะนำให้พ่อแม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเลี้ยงดูลูกเสีย ใหม่ ความน้อยอกน้อยใจดังกล่าวก็คลี่คลายลงได้
     "แม้การเล่นจะเป็นการเยียวยาแผลใจ หรือเรื่องค้างคาใจของเด็กได้ แต่หมอไม่อยากจะให้พ่อแม่วิเคราะห์เอาเอง เพราะอาจจะวิเคราะห์ผิดก็ได้ ทางที่ดีลองปล่อยให้ลูกได้เล่นตามอิสระที่เขาอยากจะเล่น แต่ถ้าเมื่อใดเขายิ่งเล่น และไม่ได้รู้สึกดีขึ้นจากการเล่น ที่สำคัญการเล่นนั้นๆเป็นการเล่นที่ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ อย่างนี้แสดงว่าเริ่มมีอะไรที่รุนแรงอยู่ในใจลูก ตรงนี้ควรพามาหาหมอดูได้"
      ของเล่น จึงไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แต่ยังช่วยคลี่คลายปมปัญหา ทั้งช่วยพัฒนากาย ใจ สติปัญญา ให้เด็กเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ ไม่ว่าเด็กคนนั้นๆจะเป็นเด็กปกติ เด็กพิเศษ หรือเด็กที่เจ็บป่วยก็ตาม
ตัวอย่างของเล่นเพื่อเด็ก 3 กลุ่ม
     เด็กปกติ   : ไม้บล็อก เลโก้ ตุ๊กตา ดิน ทราย น้ำ รถยนต์ของเล่น
     เด็กพิเศษ : ไม้บล็อกขนาดใหญ่เพื่อง่ายกับการหยิบจับ สมุดนิทานที่เพิ่มหน้าพลาสติกเข้าไปแทรกระหว่างหน้าปกติเพื่อง่ายกับการหยิบ จับ ของเล่นที่ติดตีนตุ๊กแก (ติดเวลโก้)
     เด็กถูกทำร้าย : ตุ๊กตาหุ่นมือ บ้านตุ๊กตา กระดาษพร้อมดินสอสี อุปกรณ์บทบาทสมมติ เช่น เข็มฉีดยาของเล่น ชุดนางพยาบาล ชุดหมอ

การแบ่งประเภทของของเล่นโดยทั่วไป
     * Instructional Materials ของเล่นที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการสอน เช่น เบ็คบอร์ด หรือหมุดที่ปักกระดาน เป็นต้น เป็นของเล่นเพื่อฝึกให้มือตาประสานกัน ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็ก ฝึกทักษะทางภาษา Puzzles ฯลฯ
     * Constructional Materials ของเล่นเพื่อเสริมจินตนาการความคิดสร้างสรรค์ เช่น เลโก้ โดมิโน ฯลฯ
     * Toys ของเล่นที่เลียนแบบของจริง เช่น ตุ๊กตาสัตว์ ตุ๊กตาคน รวมทั้งเสื้อผ้า สร้อยคอ ตุ้มหูของตุ๊กตา ชุดเครื่องครัวของเล่น รถยนต์ของเล่น ฯลฯ
     * Real Objects หรือของจริงที่ใช้เล่นเป็นของเล่น เช่น ทราย น้ำ ไม้ โคลน เสื้อผ้า กะทะของจริง จาน ชามของจริง
     ขณะนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าของเล่นเช่น มีด ปืน หรือที่เลียนแบบอาวุธต่างๆ เป็นของเล่นที่ทำให้เด็กก้าวร้าวหรือไม่ ซึ่งข้อสรุปมีออกมาว่าของเล่นดังกล่าวเป็นแค่เพียงเหตุปัจจัยหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด แต่สาเหตุที่ใหญ่ไปกว่านั้นก็คือถ้าผู้ใหญ่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวให้เด็กเห็น เด็กจะเลียนแบบพฤติกรรมดังกล่าวมากกว่าที่จะก้าวร้าวเพราะของที่เขาเล่นอยู่ ค่ะ
เคล็ดลับ..เลือกของเล่นให้ลูก
     * ดูความปลอดภัย เช่น ไม่ควรซื้อของเล่นที่แตกหักง่าย หรือมีชิ้นส่วนเล็กๆ แหลมคมที่ลูกอาจหยิบแล้วกลืนลงไปในท้อง
     * เหมาะสมกับวัย คือไม่ควรเลือกของเล่นที่ยากเกินไปสำหรับลูกที่จะเล่น เพราะไม่เช่นนั้นเขาจะรู้สึกล้มเหลวและไม่อยากเล่นต่อ นอกจากนั้นไม่ควรเลือกของเล่นที่ง่ายเกินไป เพราะลูกอาจเบื่อและไม่รู้สึกท้าทายที่จะลองเล่นเรื่อยๆ
     * แบ่งตามเพศ โดยปกติเรามักจะมีความคิดอยู่ในหัวว่าถ้าเป็นลูกสาวควรเล่นตุ๊กตา หรือลูกชายควรจะเล่นหุ่นยนต์ หรือของเล่นแบบผู้ชายๆ แต่จริงๆ แล้วของเล่นไม่จำเป็นต้องแบ่งเพศกันมากมายอะไรหรอกค่ะ ทั้งลูกชายและลูกสาวสามารถเล่นตุ๊กตาได้เหมือนๆ กัน
     * ความสามารถเฉพาะตัวของลูก ถ้าเป็นเด็กพิเศษ เช่น เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกาย การหยิบจับไม่สะดวกเราสามารถหาของเล่นที่มีตีนตุ๊กตากำมะหยี่มาช่วยให้เกิด การหยิบจับง่ายขึ้นก็ได้ค่ะ
     อนึ่ง เรื่องของสิ่งแวดล้อมในการเล่นก็สำคัญไม่แพ้กันเลยนะคะ เช่น เราควรเลือกของเล่นที่หลากหลายให้ลูกได้เล่น บวกกับปริมาณของของเล่นที่มากพอในระดับหนึ่ง และมีความซับซ้อนอยู่บ้าง นอกจากนั้นของเล่นควรมีความแปลกใหม่ไม่ซ้ำซากจำเจ และที่สำคัญมีพ่อแม่ร่วมเล่นกับลูกด้วยในยามที่ลูกต้องการ ทั้งหมดจะช่วยพัฒนาการที่หลากหลายให้ลูกได้ค่ะ
เด็กพิเศษทั้ง 5
     พ.ญ.นลินี เชื้อวณิชชากร คุณหมอเด็กประจำสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ศาลายา บอกว่าเด็กพิเศษหรือเด็กที่มีความต้องการดูแลที่พิเศษนั้นมีด้วยกัน 5 กลุ่มค่ะ
          1. เด็กพัฒนาการล่าช้า ( Global Developmental Delays) จะมีรูปแบบการเล่นที่เหมือนเด็กปกติเพียงแต่พัฒนาการบางด้าน เช่น ภาษา หรือกล้ามเนื้อมืออาจจะล่าช้ากว่าเด็กปกติ เช่นเด็กอาจจะเดินได้ช้ากว่าเด็กปกติทั่วไป หรือพูดช้ากว่าเด็กปกติคนอื่นๆ ในรายที่รุนแรงจะเรียกว่าเป็นเด็กพัฒนาการล่าช้ารุนแรง (Severe Developmental Delays) เด็กเหล่านี้จะมีพัฒนาการล่าช้า แต่วิธีการเล่นของเขาจะซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้น เช่น จับของเล่นมาเคาะกันซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น หรือเอาของเล่นมาหมุนซ้ำไปซ้ำมาอยู่แค่นั้น
          2. เด็กออทิสติก การเล่นของเด็กออทิสติกจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ทั้งไม่สื่อความหมายใดๆ เช่น เอารถของเล่นมาเรียงกันเฉยๆ หรือเอารถของเล่นมาจับหงายท้องแล้วหมุนเล่นอยู่อย่างนั้น หรือเอาตุ๊กตามาเล่นเพื่อจะจิ้มเข้าไปที่ลูกตาแต่เพียงเท่านั้น
          3. เด็กที่มีปัญหาทางสายตา มักจะมีข้อจำกัดในการเลียนแบบเพื่อน ดังนั้นปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนจึงไม่ค่อยสมวัยนัก การเล่นจะเป็นลักษณะสำรวจเป็นหลัก เช่น เด็กจะสำรวจว่าของเล่นนี้เล่นอย่างไรมากกว่าจะหยิบของเล่นมาเล่นอย่างตั้งใจ
          4. เด็กที่มีปัญหาทางการได้ยิน เด็กจะพูดได้ช้า หรือพูดไม่ค่อยได้ทั้งๆ ที่ถึงวัยที่ควรจะพูดได้แล้ว เพราะไม่ได้ยินเสียงพูดจากผู้อื่นนั่นเอง เขาจึงไม่สามารถเลียนเสียงและนำคำพูดออกมาสื่อความต้องการของตัวเองได้
          5. เด็กที่มีปัญหาทางกาย (Physical Disability) เช่น กล้ามเนื้อไม่ดี ก็จะไม่สะดวกในการเคลื่อนไหวตัวเองสักเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยอยากจะเล่นกับเพื่อน หรือไม่ค่อยอยากจะเคลื่อนไหวไปทำอะไร การนั่งเฉยๆ จึงเป็นพฤติกรรมที่เราเห็นเด็กกลุ่มนี้ทำอยู่เป็นประจำค่ะ
           เด็กพิเศษทั้ง 5 กลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการจัดสรรสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อเอื้อต่อการพัฒนา ให้ดียิ่งๆขึ้นไป และสิ่งแวดล้อมดังกล่าวก็คือ
                1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่เราควรจัดให้ลูกได้เล่นอย่างสร้างสรรค์ เช่น พื้นที่โล่งกว้าง
                2. สิ่งแวดล้อมทางสังคม ซึ่งผู้ใหญ่อย่างเราๆจะเป็นผู้สร้างบรรยากาศนี้ให้เกิดขึ้น เช่นเปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นกับเด็กปกติ
                3. เลือกของเล่นที่ลูกสนใจ และชอบ
                4. ทุกครั้งที่จะเล่นของเล่นกับลูกพิเศษ เราควรจะนำเสนอรูปแบบอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เช่น จัดของเล่นให้ลูกได้เล่นทีละอย่าง หรือทุกครั้งที่เล่นเสร็จลูกต้องเก็บของเล่นเอง
ห้องสมุดของเล่น
     เราอาจจะรู้จักแค่เพียงห้องสมุดที่มีหนังสือให้ยืมออกมาได้ใช่ไหมคะ แต่เดี๋ยวนี้มีห้องสมุดของเล่นเกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ โดยเราสามารถแบ่งห้องสมุดของเล่นออกเป็น 4 แบบด้วยกัน
           1. Toy Library จัดโดยชุมชนเอง โดยของเล่นจะเป็นชุมชนหามาเอง หรือได้รับจากการบริจาค
           2. ห้องสมุดของเล่นสำหรับเด็กพิเศษ ของเล่นในนั้นจะผลิตขึ้นมาเฉพาะเพื่อเด็กพิเศษจริงๆ
           3. ห้องสมุดของเล่นพื้นบ้าน (จะมีมากแถบๆประเทศทางยุโรป) ซึ่งจะเน้นการประดิษฐ์เอง ทำเอง
           4. ห้องสมุดที่มีคนมาบริจาค มีอาสาสมัครมาซ่อมแซมของเล่นที่ใช้ไม่ได้แล้วให้
     ในประเทศไทย ทางสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายาได้มีการจัดตั้งห้องสมุดของเล่นขึ้นมา โดยเบื้องต้นเอื้อประโยชน์เฉพาะกับเด็กที่เข้ามาใน "ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย" ของทางสถาบันฯ
ของเล่นพื้นบ้านช่วยพัฒนาการลูกได้
     ยุคสมัยของการบริโภคทำให้เราไม่ค่อยได้เห็นของเล่นพื้นบ้าน ที่เด็กรุ่นก่อนๆ เคยเล่นกันมา แม้ของเล่นเหล่านี้จะดูไม่ทันสมัย ไม่ไฮเทคแต่ก็สามารถเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆ ได้แบบที่ไม่ต้องฟุ่มเฟือยด้วย
          * สัตว์กะลา เช่น หนู เต่า กระต่ายที่ทำมาจากกะลามะพร้าว ของเล่นชิ้นนี้ช่วยลูกเรื่องพัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อมือ และการทำงานประสานกันระหว่างสายตาและกล้ามเนื้อมือ
          * จานบิน ใบพัด หรือคอปเตอร์ไม้ไผ่ ช่วยลูกเรื่องการกะระยะทิศทาง รวมทั้งกล้ามเนื้อมือและการทำงานประสานกันระหว่างสายตาและกล้ามเนื้อมือ
          * ก๊อปแก๊ป ซึ่งทำจากกะลามะพร้าวที่หั่นตรงกลางเป็นสองซีก แล้วเจาะรูเพื่อร้อยเชือกเข้าไป เล่นโดยให้เด็กใช้นิ้วเท้าหนีบเส้นเชือกแล้วเดินเล่น ของเล่นชิ้นนี้ช่วยในเรื่องการทรงตัว ฝึกกล้ามเนื้อขา และกล้ามเนื้อมือ
          * นกหวีดไม้ไผ่ ของเล่นชิ้นนี้ช่วยลูกฝึกกล้ามเนื้อมือ และนิ้วมือได้เป็นอย่างดี
          * กำหมุน เป็นของเล่นที่เด็กต้องใช้มือหนึ่งจับกำหมุนเอาไว้ โดยมืออีกข้างหนึ่งดึงเชือกเพื่อให้ใบพัดหมุนไปมาอย่างรวดเร็ว กำหมุนช่วยลูกเรื่องการกะระยะทิศทาง กล้ามเนื้อมือ และการประสานกันระหว่างสายตาและกล้ามเนื้อมือ
          * ลูกข่างสะบ้า ของเล่นชนิดนี้ช่วยลูกเรื่องการกะระยะทิศทาง กล้ามเนื้อมือและการทำงานประสานกันระหว่างสายตาและกล้ามเนื้อมือ


การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่

^...การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่...^
     การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ เป็นการนำวิธีการสอนเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้าที่ประสบความสำเร็จมาใช้กับเด็กปฐมวัย โดยให้เด็กจับต้องสื่อหรือเล่นอุปกรณ์ต่างๆ ที่เลือกเอง ทำให้เด็กเรียนรู้อย่างมีสมาธิและสร้างสรรค์ เด็กสามารถประสมคำ อ่านคำและฝึกเขียนหนังสือได้ด้วยตนเองตามความสนใจตั้งแต่อายุ 4-5 ปี

 

           การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เป็นการจัดสภาพการเรียนรู้สำหรับเด็ก โดยมีครูเป็นผู้จัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้เหมือนบ้าน และเป็นผู้ให้การสนับสนุน ให้เสรีภาพแก่เด็ก ให้คำปรึกษาและกระตุ้นให้เด็กคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง ให้ใช้จิตใจซึมซับสิ่งแวดล้อม โดยครูคำนึง ถึงความสนใจ ความต้องการและความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ของเด็กและยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย การจัดการสอนแบบมอนเตสซอรี่จะคำนึงถึงเด็กเป็นสำคัญ ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ จัดสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ให้เด็กได้ฝึกทักษะกลไกผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า รู้จักควบคุมการทำงานด้วยตัวเอง เพราะมอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กคือ ผู้รู้ความต้องการของตนเองและมีความสามารถที่จะซึมซับการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมได้ หลักสูตรของมอนเตสซอรี่สำหรับเด็กวัย 3-6 ขวบ ครอบคลุมการศึกษา 3 ด้านคือ
      ด้านทักษะกลไก (Motor Education) หรือกลุ่มประสบการณ์ชีวิต มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการดูแลและจัดการสิ่งแวดล้อม การทำงานให้เสร็จสมบูรณ์ ความรับผิดชอบและการประสานสัมพันธ์ให้สมดุล เด็กจะทำกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวเบื้องต้นของชีวิตประจำวัน การดูแลตนเอง การจัดการเกี่ยวกับของใช้ในบ้าน เช่น การตักน้ำ การตวงข้าว การขัดโต๊ะไม้ การเย็บปักร้อย การรูดซิป การพับและเก็บผ้าห่ม หรือมารยาทในการรับประทานอาหารเป็นต้น
     ด้านประสาทสัมผัส (Education of the Senses) มีจุดประสงค์เพื่อฝึกการสังเกต การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าเกี่ยวกับมิติ รูปทรง ปริมาตรของแข็ง ของทึบ อุณหภูมิ เด็กจะได้รู้จักทรงกระบอก ลูกบาศก์ ปริซึม แขนงไม้ ชุดรูปทรงเรขาคณิต บัตรประกอบแถบสี กระดานสัมผัส แผ่นไม้ แท่งรูปทรงเรขาคณิต กิจกรรมที่จัดให้เด็กปฏิบัติผ่านการเล่น เช่น หอคอยสีชมพู แผ่นไม้สีต่างๆ เศษผ้าสีต่างๆ รูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ รูปทรงกระบอก ระฆัง กล่อง และขวดบรรจุของมีกลิ่น แท่งไม้สีแดงและแท่นวางเป็นขั้นบันได ถุงที่ซ่อนสิ่งลึกลับ เป็นต้น
     ด้านการเขียนและคณิตศาสตร์ (Preparation For Writing and Arithmetic) หรือกลุ่มวิชา การ มีจุดประสงค์เพื่อเตรียมเด็กเข้าสู่ระดับประถมศึกษา เตรียมตัวด้านการอ่านการเขียนโดยธรรมชาติ การประสมคำ คณิตศาสตร์ การศึกษาทางพฤกษศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การประพันธ์เพลง การเคลื่อนไหวมือ เด็กจะเรียนเกี่ยวกับตัวเลข กล่องชุดอักษร ชุดแผนที่ เครื่องมือ โน้ตดนตรี กล่องและแท่งสี อักษรกระดาษทราย แผ่นโลหะชุดรูปทรงเรขาคณิต ชุดแต่งกาย เป็นต้น กิจกรรมที่จัดสำหรับเด็ก เช่น การคูณ การหารยาว ทศนิยม การแนะนำเลขจำนวนเต็ม 10 ด้วยลูกปัด แบบฝึกหัดการบวกและการลบ การเรียนรู้คำศัพท์ต่างๆ เรียนเรื่องส่วนที่เป็นพื้นดิน เช่น ที่ราบ ภูเขา เกาะ แหลม ฯลฯ ส่วนที่เป็นพื้นน้ำ เช่น น้ำตก ทะเลสาบ อ่าว ช่องแคบ ฯลฯ

ที่มาการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
     การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่เกิดจากแนวคิดของมาเรีย มอนเตสซอรี่ (Maria Montessori) แพทย์หญิงชาวอิตาลีที่มีความเชื่อว่า “การให้การศึกษากับเด็กในวัยเริ่มต้น ไม่ใช่การนำความรู้ไปบอกเด็ก แต่ควรเป็นการปลูกฝังให้เด็กได้เจริญเติบโตไปตามความต้องการทางธรรม ชาติของเขา” มอนเตสซอรี่เริ่มต้นนำแนวการสอนนี้ไปใช้กับเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้า โดยประดิษฐ์สื่อวัสดุอุปกรณ์ที่เป็นหัวใจสำคัญในการเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นพบสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง โดยเน้นการฝึกฝนทางด้านประสาทสัมผัสจับต้อง บิดหรือหมุนด้วยมือ เพื่อให้สมองทำหน้าที่ตอบสนองได้ เด็กๆ จะได้เรียนรู้ความสำเร็จ ความล้มเหลว รู้จักแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง เกิดแรงผลักดันที่เด็กทำให้เกิดขึ้นเอง และมีระเบียบวินัยที่เกิดจากความเป็นอิสระของเด็ก โดยไม่จำเป็นต้องมีคำติชมของผู้ใหญ่ หรือการให้รางวัลและการลงโทษ มอนเตสซอรี่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งเมื่อเด็กที่มีพัฒนาการทางสติปัญญาล่าช้าเหล่านั้นสามารถอ่าน เขียน สอบผ่านและเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ และยังใช้ได้ผลดีกับเด็กปกติอีกด้วย วิธีการสอนของมอนเตสซอรี่จึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก

ลักษณะการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่
     การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีลักษณะส่งเสริมการเรียนด้วยตนเองของเด็ก เน้นการช่วยเหลือตนเองให้มากที่สุด โดยสภาพของโรงเรียนจัดสิ่งแวดล้อมให้เสมือนบ้าน มีห้องต่างๆ ที่บ้านควรมี เช่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น มีห้องโถงใหญ่ที่จัดมุมการเรียนรู้ไว้ตอบสนองความต้องการของเด็ก ได้แก่ มุมฝึกประสาทสัมผัส มุมภาษา มุมคณิตศาสตร์ มุมดนตรี มุมศิลปะ มุมที่จะสอนสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน และมุมภูมิศาสตร์ เป็นต้น ห้องนี้เปรียบเสมือนห้องทำงานของเด็ก จะมุ่งเน้นทางด้านสติปัญญา เด็กๆ จะอยู่ในห้องนี้เพื่อทำกิจกรรมอย่างน้อย 2 ชั่วโมง โดยมีเครื่องมือที่ออกแบบไว้สำหรับเด็กโดยเฉพาะ ที่จะพัฒนาทางสติปัญญาเด็กมากกว่าการสอน เช่น เครื่องเรือน ชุดรับแขกที่เหมาะสำหรับให้เด็กเคลื่อนย้ายได้ ทำความสะอาดสะดวก มีโต๊ะหลายแบบทั้งสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม วงกลมทั้งเล็กทั้งใหญ่ ส่วนสื่อที่จัดไว้ที่มุมต่างๆในห้องนั้น เป็นสื่อที่มอนเตสซอรี่ได้พัฒนาขึ้นมา จัดไว้เป็นชุดๆ ด้วย กัน โดยให้แต่ละมุมเป็นเรื่องของการศึกษาแต่ละชุด โดยรอบๆ บ้านมีบริเวณให้เด็กได้เดิน มีสวนให้เด็กได้นั่งพักและทำกิจกรรม เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก
หลักการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีดังนี้
  •      - จัดห้องเรียนให้เสมือนบ้านเพื่อสร้างความรู้สึกอบอุ่นและมั่นใจให้แก่เด็กที่เพิ่งจากบ้านมาโรงเรียนครั้งแรกและเชื่อว่าในสภาพแวดล้อมคล้ายบ้าน เด็กจะพอใจที่จะเลียนแบบ (Imitation) บทบาทต่างๆ ของผู้ที่อยู่แวดล้อมเด็กได้ง่าย เพราะเด็กจะมีประสบการณ์กับบุคคลที่เขาใกล้ชิดอยู่แล้ว โดยเฉพาะพ่อแม่ เด็กเห็นพ่อแม่ทำงานบ้าน การทำตามแบบเป็นการแสดงความสามารถของเด็กที่จะนำไปใช้ในชีวิตจริงต่อไป
  •     - ให้เสรีภาพกับเด็กที่จะเลือกเล่นด้วยตนเอง เป็นการสร้างความมั่นใจต่อตนเอง เด็กจะได้โอกาสแสดงความสามารถของตนเองให้คนอื่นรับรู้ได้ ตลอดจนสามารถที่จะฝึกฝน สร้าง สรรค์สิ่งต่างๆ และปรับชีวิตตนเองโดยไม่รู้ตัว มอนเตสซอรี่เชื่อว่า เด็กมีจิตใจที่ซึมซับสิ่งต่างๆจากสิ่งแวดล้อม (Absorbent mind) ได้เหมือนฟองน้ำ และเชื่อว่ามนุษย์เราเป็นผู้ให้การศึกษาแก่ตนเอง ดังเช่น เด็กเรียนรู้ภาษาแม่ได้เองโดยไม่ต้องสอนอย่างเป็นทางการ แตกต่างจากการที่ผู้ใหญ่เรียนภาษาต่างประเทศที่ต้องใช้ความพยายามมาก
  •      - จัดสภาพการณ์ต่างๆที่ยึดเด็กเป็นศูนย์กลาง ครูเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก คอยให้คำ แนะนำ ปรึกษา เตรียมการสอนและจัดสิ่งแวดล้อมอย่างมีจุดมุ่งหมาย เด็กจะต้องติดตามดูการสาธิตการใช้อุปกรณ์ของครูแล้วจึงจะตัดสินใจเองว่าจะเลือกทำงานหรือฝึกหัดอุปกรณ์ชิ้นใด ลักษณะการเรียนรู้เช่นนี้คือ การเรียนด้วยความอิสระที่มีขอบเขต เด็กต้องเรียนรู้ที่ใช้อุปกรณ์อย่างถูกต้องก่อนที่จะมีสิทธิ์เลือก เป็นการปลูกฝังวินัยและการควบคุมตนเองให้เด็ก
  • พัฒนาจิตใจของเด็กไปพร้อมกับการพัฒนาการทางด้านสติปัญญาและร่างกาย เน้นสุขอนามัยของเด็ก เด็กต้องทำความสะอาดอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย เด็กต้องได้ออกกำลังกายและมีการเคลื่อนไหว
  •       - การเรียนไปพร้อมกับการเล่นจะช่วยให้เด็กสนใจ เพลิดเพลิน เพราะเป็นวิธีการสอนที่สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็ก คือ เด็กต้องการการเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง เด็กชอบเล่น รื้อ แคะ แกะชิ้นส่วนของสิ่งต่างๆ หรือนำไปประกอบใหม่ เด็กชอบเลียนแบบผู้ที่ตนเองพบเห็น เด็กจึงชอบสมมุติ พร้อมกันนั้นเด็กมีจินตนาการ จึงชอบทำในสิ่งที่เกินกว่าวัยของตนเองจะทำได้ และเด็กมีความอยากรู้อยากเห็น จึงชอบสำรวจ ค้นหาเสมอ
  •       - ฝึกการใช้ประสาทสัมผัสของเด็กทุกด้าน ทั้งการสังเกต การจับต้อง การลูบคลำ การฟังเสียง การดมกลิ่นและการชิมรส เพื่อการเจริญเติบโตทางด้านสติปัญญา
  •       - ยึดหลักความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะเด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะของตนที่ได้รับจากพันธุกรรมจากพ่อแม่ จากการอบรมเลี้ยงดู และจากสภาพสิ่งแวดล้อมที่เขาได้ปะทะสัมพันธ์ เด็กแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน จุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนจึงไม่คาดหวังว่าเด็กทุกคนจะทำอะไรได้เหมือนกันหมด แต่พยายามหาทางส่งเสริมให้ทุกคนอย่างเหมาะสม มอนเตสซอรี่ย้ำว่า เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก จึงควรได้รับการดูแลแตกต่างไปจากผู้ใหญ่โดยคำนึงถึงสภาพชีวิตเด็ก
  • การรักเด็กและนับถือความสามารถที่เป็นธรรมชาติของเด็ก มอนเตสซอรี่จัดการเรียนการสอนให้เด็กตามความสามารถของแต่ละคน แต่ให้ทำงานไปตามลำดับความยาก ง่าย โดยมีอุปกรณ์ขนาดเหมาะมือเด็ก
  •       - เป้าหมายสูงสุดของการสอนคือ การมุ่งให้เด็กได้เป็นเด็กที่มีคุณค่าทางจิตใจสูง ฝึกให้เห็นคุณค่าของความร่วมมือกับส่วนรวม การควบคุมตนเอง ความรับผิดชอบ ความอดทน เป็นตัน
  • จัดโอกาสการเรียนรู้ให้แก่เด็ก ให้เด็กได้พัฒนาอย่างเต็มที่เพราะช่วงเวลาหลักของชีวิตคือช่วงอายุแรกเกิดถึง 6 ขวบเป็นช่วงที่สติปัญญาของคนและพลังจิตพัฒนาสูงสุด วิธีสอนและเทคนิคการสอนแบบมอนเตสซอรี่เน้นให้เด็กทำกิจกรรมด้วยตนเอง (Self Activity) มีดังนี้
  •              1 การเล่นปนเรียน (Play Way Method) มอนเตสซอรี่มีความเชื่อว่า การเล่นมีความสำคัญต่อชีวิตของเด็กเพราะธรรมชาติของเด็กจะผูกพันกับการเล่น จึงให้เสรีภาพในการเล่นกับเด็กและจัดโอกาสให้เด็กได้เล่น หากเด็กสนใจเล่น จะเล่นซ้ำๆ กันได้หลายครั้ง เพราะการเล่นจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ดีที่สุด
  •              2 การเล่นเกมจะตอบสนองความต้องการของเด็กและส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก เด็กจะมีเสรีภาพที่เล่นลักษณะใดก็ได้ กติกาอาจเกิดจากเด็กเป็นผู้กำหนดเอง เกมอาจเกิดจากความคิดของเด็กที่ได้จากสื่อคณิตศาสตร์ และสิ่งแวดล้อมที่ครูจัดไว้ให้
  •             3 วิธีให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ (Creativity Method) เป็นวิธีการที่แฝงอยู่ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนของมอนเตสซอรี่ที่จะสนับสนุนให้เด็กเกิดการเรียนรู้จากการกระทำของตนเองตามลำดับคือ เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระ การพยายามให้เด็กใช้ทักษะที่มีอยู่ การส่งเสริมให้ค้นหาสิ่งใหม่ การปรับปรุงสิ่งเดิมให้ดีขึ้น และการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นนามธรรม
  •             4 การสาธิต (Demonstration) ครูจะใช้วิธีนี้เมื่อเด็กขอร้องและครูสังเกตว่าเด็กช่วยตนเองไม่ได้แล้ว ครูสาธิตด้วยวิธีที่เงียบ ไม่อธิบายหรืออธิบายน้อยที่สุด สาธิตเป็นขั้นๆ และให้โอกาสเด็กลงมือกระทำตามที่ครูทำให้ดูและครูคอยสังเกตการทำของเด็กว่าถูกต้องหรือไม่
  •             5 ห้องเรียนแบบเปิด (Open Classroom) เป็นลักษณะการจัดห้องเรียนมากกว่าวิธีสอน มอนเตสซอรี่เป็นผู้บุกเบิกการจัดการเรียนที่ให้อิสระเด็กเป็นรายบุคคล สนับสนุนการสืบค้นความรู้จากสิ่งแวดล้อม เด็กจะเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นส่วนมาก
  •             6 การเสริมสร้างอัตมโนทัศน์ (Self Concept) เป็นลักษณะที่สอดคล้องกับแนวคิดของมนุษย์นิยม เพราะมอนเตสซอรี่จัดสิ่งแวดล้อมและสื่อการเรียนการสอนที่เป็นประสบการณ์ส่งเสริมให้เด็กค้นพบความสำเร็จ ส่งเสริมให้เด็กมั่นใจว่าตนเป็นผู้มีความสามารถ เสริมแรงทางบวก เป็นต้น
ประโยชน์ของการเรียนการสอนแบบมอนเตสเซอรี่ที่มีต่อเด็กปฐมวัย
     การจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่จะส่งเสริมเด็กให้เกิดคุณลักษณะดังนี้
  •       - เด็กเกิดการเรียนรู้ได้ตนเอง (Self-education / Auto-education) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเข้าใจตนเองในการเลือกวิธีการเรียนรู้ เป็นผู้ใฝ่รู้
  •       - เด็กสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีเพราะหลักสูตรมอนเตสซอรี่ออกแบบโดยการเลียนแบบชีวิตจริง
  •       - เด็กเรียนด้วยความสุข เพราะเป็นจัดการเล่นปนเรียน สอดคล้องกับธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็ก
  •       - เด็กได้เข้าสังคมกับเพื่อน ให้เด็กที่มีความแตกต่างกันเรียนรู้ที่อยู่ร่วมกัน ให้ความช่วยเหลือกัน เพราะการเรียนแบบจัดกลุ่มเด็กหลายอายุ รวมกลุ่มกัน
  •       - การเรียนที่มุ่งให้เด็กทำกิจกรรมจนสำเร็จด้วยตนเอง ไม่มีการแข่งขันเปรียบเทียบ เด็กจะรู้สึกท้าทายตนเอง ไม่เครียด ไม่เบื่อหน่ายการเรียน
  •       - เด็กมีสมาธิจากการทำงาน จิตเด็กสงบไม่กระวนกระวาย จะเป็นเด็กอดทน ใจเย็นและมีความสุขจากงาน
  •       - เด็กจะเจริญเติบโตตามธรรมชาติ เพราะการสอนแบบมอนเตสซอรี่ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาหลักของชีวิต การเจริญเติบโตทั้งทางสติปัญญาและจิตใจได้รับพลังอย่างเหมาะสม เกิดทักษะได้อย่างดี เช่น การเรียนรู้ภาษา การนับ การจัดของอย่างมีระเบียบ การขึ้นลงบันได เป็นต้น
  •       - เด็กมีบุคลิกภาพที่ดี คือ เป็นผู้กล้าคิดและตัดสินใจด้วยตนเอง เป็นผู้ที่รู้จักการแก้ปัญหาด้วยตนเอง เป็นผู้รับผิดชอบ เป็นผู้รู้จักเข้าสังคม มีทัศนคติเชิงบวก และเป็นผู้มีสติปัญญาเหมาะสมตามวัย
  •       - เด็กมีทักษะการเรียนที่จะเข้าสู่ระดับประถมได้ดี เพราะได้รับการเตรียมตัวจากหลักสูตรมอนเตสซอรี่ที่ครอบคลุมทางด้านประสบการณ์ชีวิต ด้านประสาทสัมผัส และทางด้านวิชาการคือ การอ่าน การเขียนและคณิตศาสตร์
  •       - เด็กมีความเข้าใจธรรมชาติ เพราะได้รับการฝึกการสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต เขาจะมีความสัมพันธ์กับธรรมชาติ
  •       - เด็กจะรู้จักคิดสร้างสรรค์ เพราะได้รับการส่งเสริมการคิดอย่างอิสระและการได้รับการยอมรับนับถือจากผู้ใหญ่
สถานศึกษาในประเทศไทยที่จัดการศึกษาแบบมอนเตสซอรี่ที่มีชื่อเสียงคือ
      โรงเรียนอนุบาลกรแก้ว (124 ซอยระนอง 1 ถนนพระราม 5 เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร) อำนวยการสอนโดยอาจารย์คำแก้ว ไกรสรพงษ์ หงสประภาส เป็นการนำเด็กตั้งแต่อายุ 3-6 ขวบ มาจัดกลุ่มคละอายุ ใช้หลักว่า การเตรียมความพร้อมของเด็กเริ่มที่วัยอนุบาล ไม่เน้นการอ่านออก เขียนได้เช่นเด็กประถมศึกษา โรงเรียนมีจุดยืนเรื่องนี้ชัดเจน และผู้ปกครองเข้าใจพร้อมทั้งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มีการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะรายบุคคล (I.E.P. Individual Education) เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพและส่งเสริมพัฒนาการร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมสำหรับเด็กพิเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมเด็กให้สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติให้ได้มากที่สุด เด็กจะทำกิจกรรมเป็นกลุ่มๆโดยไม่จำแนกอายุ จะทำกิจกรรมสลับกันไปกิจกรรมละ 20 นาที เช่น กิจกรรมพืชผักสวนครัว กิจกรรมวิทยาศาสตร์ เป็นต้น ส่วนกิจกรรมมอนเตสซอรี่จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง เด็กจะเลือกหยิบอุปกรณ์มอนเตสซอรี่อย่างอิสระ มาเล่นบนเสื่อผืนเล็กที่นั่งพอดีตัวและวางวัสดุของเล่นได้ เมื่อเล่นเสร็จจะต้องนำไปเก็บในที่ที่กำหนดไว้ หมุนเวียนไป มีทั้งอุปกรณ์ที่เล่นคนเดียว และเล่นร่วมกับเพื่อน
      สถานพัฒนาเด็กในมูลนิธิพีระยานุเคราะห์ มี ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน ได้นำแนว คิดแบบมอนเตสซอรี่มาประยุกต์ใช้ในบริบทไทย เน้นการเรียนรู้ผ่านของเล่นที่เกิดจากแนวคิดของครูผู้สอน และมูลนิธิมีโรงงานผลิตของเล่นเหล่านั้นเอง ที่มีจุดมุ่งหมายผลิตมาให้เด็กเล่นตอบสนองความต้องการของเด็กและพัฒนาการเด็ก
     โรงเรียนอนุบาลวัฒนาสาธิต (34 ซ.วชิรธรรมสาธิต 55 หมู่บ้านอิมพีเรียล พาร์ค สุขุมวิท 101/1 พระโขนง กรุงเทพมหานคร)
     โรงเรียนอนุบาลยุวมิตร เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร
     โรงเรียนมอนเตสซอรี่พัทยา
     โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช ถ.นครอุทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เปิดทดลองสอน 1 ห้องเรียน

การนำการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มาประยุกต์ใช้กับลูกของพ่อแม่ ผู้ปกครอง
     การเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่มีลักษณะเด่นที่พ่อแม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับลูกที่บ้านได้เป็นอย่างดี เพราะกิจกรรมและอุปกรณ์การเรียนรู้แบบมอนเตสซอรี่มีลักษณะเสมือนของใช้จริงในชีวิตของเด็กอยู่แล้ว เพียงแต่พ่อแม่เริ่มทบทวนการอบรมเลี้ยงดูที่ปฏิบัติต่อลูก หากพบ ว่าพ่อแม่ยังใช้รูปแบบการเลี้ยงดูที่ใช้อำนาจสั่งการจากผู้ใหญ่อยู่ ก็จำเป็นต้องปรับท่าทีใหม่ ให้เริ่มต้นจากการยอมรับว่า เด็กสามารถรับรู้ได้ เลียนแบบได้ง่าย จดจำดี ให้เด็กเรียนรู้ หรือกระทำผ่านการเล่นอย่างอิสระภายใต้การทำแบบอย่างที่ถูกต้องให้เด็กดูและปฏิบัติตาม มีระเบียบเป็นแกนหลักที่ตกลงร่วมกันไว้ก่อน เช่น การจัดเก็บของเข้าที่ การเล่นเป็นที่อย่างมีสมาธิจนผลงานสำเร็จ เป็นต้น หากในครอบครัวมีพี่น้อง เด็กจะได้รับโอกาสที่ดีที่จะเรียนรู้ร่วมกันโดยมีพี่เป็นผู้ ช่วยดูแลและสาธิตงานให้น้อง พ่อแม่ผู้ปกครองจัดหาอุปกรณ์ของมอนเตสซอรี่มาให้ลูกเรียนที่บ้านได้ เช่น กล่องรูปสามเหลี่ยม (Triangle Boxes) เป็นชุดส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ได้ดี แต่ผู้ปกครองจะต้องศึกษา ทำความเข้าใจ การสนับสนุนลูก ดีกว่าให้เด็กทำแบบเดิมซ้ำๆ เด็กจะขาดประสบการณ์และความคิดสร้างสรรค์

...เพื่อครู...
     ครูแบบมอนเตสซอรี่เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก คอยให้คำแนะนำ ปรึกษา โดยเตรียมการสอนและสิ่งแวดล้อมอย่างมีจุดมุ่งหมาย ครูสาธิตการใช้อุปกรณ์ให้เด็กดูอย่างเงียบๆ เปิดโอกาสให้เด็กตัดสินใจเองว่าจะเลือกทำงานหรือฝึกหัดอุปกรณ์ชิ้นใด โดยไม่จำต้องมีคำติชม หรือการให้รางวัลและการลงโทษ และต้องไม่คาดหวังว่าเด็กทุกคนจะทำอะไรได้เหมือนกันหมด แต่ครูต้องพยายามหาทางส่งเสริมให้ทุกคนอย่างเหมาะสม

เด็กที่มีความพิการซ้ำซ้อน

^...เด็กที่มีความพิการซ้ำซ้อน...^

เด็กพิการซ้อน
     ความพิการซ้อน (Multiple Disabilities) หมายถึง ความบกพร่องร่วมกันมากกว่า 1 ลักษณะที่เกิดขึ้นต่อบุคคล (Simultaneous impairments) อาทิเช่น บกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับตาบอด หรือบกพร่องทางสติปัญญาร่วมกับความผิดปกติของกระดูกและกล้ามเนื้อ
     โดยปกติแล้ว สำหรับเด็ก ความซ้ำซ้อนเหล่านี้มักก่อให้เกิดปัญหาในการเรียนรู้ เนื่องจากเด็กไม่สามารถเข้ารับการศึกษาพิเศษที่เหมาะสมต่อความบกพร่องทางใดทางหนึ่งเพียงอย่างเดียวได้
     เด็กพิการซ้อนมักมีปัญหาความผิดปกติที่หลากหลาย ซึ่งมักได้แก่ การพูด การเคลื่อนไหวร่างกาย การเรียนรู้ การมองเห็น การได้ยิน ความบกพร่องทางสติปัญญา เป็นต้น นอกจากนี้ เด็กยังอาจมีภาวะสูญเสียการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory Losses) รวมทั้งมีปัญหาด้านพฤติกรรมและสังคม
     เด็กพิการซ้อนแต่ละราย จะมีความแตกต่างกันทางลักษณะและระดับความรุนแรงของอาการ เด็กกลุ่มนี้มักมีความบกพร่องทางการได้ยินและมีปัญหาในการประมวลผลของสิ่งที่ได้ยิน รวมถึงมีข้อจำกัดในการพูด การเคลื่อนไหวของร่างกาย เด็กอาจมีความลำบากในการปฏิบัติและจดจำ อีกทั้งยังไม่สามารถนำทักษะที่มีไปปรับใช้ได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นแล้ว ความช่วยเหลือและการสนับสนุนเด็กกลุ่มนี้ให้ได้รับโอกาสในการมีชีวิตที่ดี ซึ่งวิธีการดูแลและรักษาความพิการซ้อนจะแตกต่างกันไปในเด็กแต่ละราย โดยพิจารณาจากสาเหตุและลักษณะพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก

ลักษณะเด็กพิการซ้อน
     เด็กที่มีปัญหาพิการซ้อนอาจแสดงลักษณะได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะความซ้ำซ้อน (Combination) ความรุนแรงของความพิการ (Severity of Disabilities) รวมทั้งปัจจัยเรื่องอายุด้วย อย่างไรก็ตาม ลักษณะปัญหาที่พบได้บ่อย มักมีลักษณะดังนี้
ปัญหาด้านจิตใจ
  • - มีความรู้สึกเหมือนถูกขับไล่ออกจากสังคม
  • - ปลีกตัวจากสังคม
  • - กลัว โกรธ และไม่พอใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันหรือเมื่อถูกบังคับ
  • - ทำร้ายตัวเอง
ปัญหาด้านพฤติกรรม
  • - ยังคงแสดงพฤติกรรมเหมือนเด็กแม้จะโตขึ้น
  • - ขาดความยับยั้งชั่งใจ
  • - มีความยากลำบากในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • - มีทักษะในการดูแลและพึ่งตัวเองที่จำกัด
ปัญหาด้านร่างกาย
  • - มีความผิดปกติของร่างกาย (Medical problems) อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาการชัก (Seizures) การ- - สูญเสียการรับรู้ทางประสาทสัมผัส (Sensory Loss) ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) และกระดูกสันหลังโค้ง (Scoliosis)
  • - เชื่องช้าและงุ่มง่าม
  • - มีความบกพร่องในการกระทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ
ปัญหาทางด้านการเรียนรู้
          - มีปัญหาในการคัดลายมือหรือเขียนหนังสืออันเนื่องมาจากความบกพร่องของกล้ามเนื้อมัดเล็ก (Fine-motor deficits) และปัญหาความไม่สัมพันธ์ของมือและตา
          - มีข้อจำกัดในการพูดและสื่อสาร
          - ลืมทักษะบางอย่างเมื่อไม่ได้ใช้
          - มีปัญหาในการเข้าใจ รับมือ หรือนำทักษะที่มีมาปรับใช้ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป
          - ขาดความคิดระดับสูง (High level thinking) ส่งผลให้มีปัญหาในการทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ
          - มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาที่ต่ำ
          - มีระดับจินตนาการและความเข้าใจความคิดที่เป็นนามธรรมอย่างจำกัด
          - มีผลการสอบระดับต่ำ
          - ไม่สามารถระบุตำแหน่งของแหล่งเกิดเสียงได้
          - หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม
          - มีปัญหาในการเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งของและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งของ

สาเหตุของความพิการซ้อน
     โดยทั่วไป สาเหตุของความพิการซ้อนมักเกิดจากความผิดปกติของสมอง ซึ่งส่งผลต่อกิจกรรมของระบบประสาทบางส่วน เช่น สติปัญญา (Intelligence) และความไวของประสาทสัมผัส (Sensory sensitivity) แม้ว่าในเด็กบางรายจะไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดได้ อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยรายที่สามารถระบุสาเหตุได้ มักพบว่าอาการพิการซ้อนเกิดจากปัจจัยทางชีวเคมีในช่วงก่อนกำเนิด (Prenatal Biomedical factors) หรือจากปัจจัยทางพันธุกรรม อันเนื่องมาจากความผิดปกติของยีนหรือโครโมโซม นอกจากนี้สาเหตุอื่นๆ อาจเชื่อมโยงกับโรคพันธุกรรมเมตาบอลิก (Genetic Metabolic Disorders) การทำหน้าที่ผิดปกติของอวัยวะในร่างกายในการสร้างเอนไซม์ (Dysfunction in production of enzymes) ซึ่งนำไปสู่การสะสมของสารพิษในสมอง และส่งผลให้สมองผิดปกติ (Brain Malformation)
สาเหตุและสัดส่วนของเด็กพิการซ้อน สามารถจำแนกได้ดังนี้  
          - ร้อยละ 30 ไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
          - ร้อยละ 15 เกิดจากปัจจัยในช่วงคลอด ซึ่งความบาดเจ็บจากการคลอดก่อให้เกิดความผิดปกติของอวัยวะที่สำคัญ
          - ร้อยละ 5 เกิดจากปัจจัยในช่วงหลังกำเนิด เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis) โรคสมองอักเสบ (Encephalitis) ภาวะหัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest) และจากอุบัติเหตุ เช่น ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
          - ร้อยละ 50 เกิดจากปัจจัยในช่วงก่อนเกิดกำเนิด ได้แก่ ความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ โรคหลอดเลือดสมองในตัวอ่อน รวมถึงโรคพยาธิสภาพในตัวอ่อน (Embryopathy) ซึ่งได้แก่ เชื้อไวรัสไซโตเมกาโล และเชื้อไวรัสเอดส์ เป็นต้น

ความสำคัญของปัญหาพิการซ้อน
     สำหรับเด็กพิการซ้อน ปัจจัยด้านประเภทและความรุนแรงของความพิการจะเป็นตัวกำหนดความช่วยเหลือที่เด็กควรได้รับ ซึ่งโดยปกติเด็กมักจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือในการใช้ชีวิตมากกว่าหนึ่งด้าน แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ นักบำบัด ครู และผู้ปกครอง ต้องร่วมมือกันเพื่อวางแผนและแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการที่เหมาะสม ทั้งนี้เป้าหมายในการช่วยเหลือเด็กพิการซ้อนคือเพื่อให้เด็กสามารถมีพัฒนาการที่สำคัญได้ ทั้งด้านอารมณ์ ภาษา สังคม อาชีพ และการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้การอำนวยความสะดวกระหว่างการรักษา อาหาร และเครื่องมือพิเศษ ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเอื้อให้การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาเด็กพิการซ้อนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
     การช่วยเหลือเด็กตั้งแต่แรกเกิด ก่อนเข้าเรียน และในวัยเรียนอย่างใกล้ชิด ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเด็กพิการซ้อน ซึ่งนอกจากความช่วยเหลือจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ นักบำบัด ครู และผู้ปกครองแล้ว เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive technology) อาทิเช่น คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ช่วยสื่อสารแบบพกพาสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการพูด (Augmentative and Alterative communication devices) ก็สามารถมีบทบาทสำคัญในการเป็นเสมือนผู้ให้ความช่วยเหลือในการเรียนรู้ อันจะส่งผลให้เด็กสามารถใช้ชีวิตอย่างราบรื่นขึ้นได้

การเหลือหรือแก้ไขปัญหาลูกที่พิการซ้อนของพ่อแม่ ผู้ปกครอง
     เนื่องจากไม่มีเด็กคนไหนบนโลกนี้ที่จะเหมือนกันไปหมดทุกอย่างได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กมีปัญหาพิการซ้อน เด็กย่อมมีจุดแข็ง และต้องการความช่วยเหลือที่ไม่เหมือนใคร เด็กเหล่านี้นอกจากจะมีความแตกต่างกันทางด้านลักษณะความพิการแล้ว ยังมีความแตกต่างกันอีกมากในเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถ ความสนใจ ประสิทธิภาพของสายตาและประสาทสัมผัส บางคนอาจจะพูดเก่ง หรือบางคนก็ไม่สามารถพูดได้ บางคนอาจจะชอบให้กอด หรือบางคนก็อาจจะไม่ชอบให้ใครมาจับเนื้อน้องตัว
     แม้ในกลุ่มที่มีความพิการซ้อนในลักษณะเดียวกัน เครื่องมือหรือวิธีการที่ใช้ได้ผลกับเด็กคนหนึ่ง ก็อาจไม่ได้ผลกับเด็กคนอื่นๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เด็กเหล่านี้มักมีร่วมกัน ได้แก่ ความผิดปกติที่ซ้ำซ้อนซึ่งนำไปสู่ความท้าทายในการเข้าถึง รับรู้ และเข้าใจข้อมูล รวมถึงความพยายามที่จะเอาชนะขีดจำกัดของตนเอง
     พ่อแม่และครอบครัวจึงควรมีส่วนร่วม และแสดงบทบาทที่สำคัญ เพื่อช่วยให้ลูกพัฒนาตนเองได้ และสามารถเอาชนะขีดจำกัดของตนเองได้ ดังนี้
          - ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของลูก ยิ่งรู้มาก พ่อแม่ก็จะยิ่งสามารถช่วยลูกได้มากเท่านั้น
          - รักและเล่นกับลูกให้มาก ปฏิบัติต่อลูกอย่างที่พ่อแม่พึงกระทำกับลูกคนอื่นๆ ที่ปกติ
          - ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือเพื่อนผู้ปกครอง ถึงวิธีการตอบสนองต่อความต้องการพิเศษ (Special needs) ของลูก
          - ขอความช่วยเหลือจากสมาชิกในครอบครัวและเพื่อน รวมทั้งสอนให้พวกเขารู้จักวิธีการดูแลเด็กพิการซ้อน ทั้งนี้เพราะการดูแลเด็กพิการซ้อนถือเป็นเรื่องที่เหนื่อย อีกทั้งผู้ปกครองยังไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องมีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือเด็กและแบ่งเบาภาระหนักจากพ่อแม่
         - ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับวิธีการรักษาหรือเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลูกได้
         - ศึกษาเกี่ยวกับเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวก (Assistive Technology) ที่สามารถช่วยลูกได้ ซึ่งอาจเป็นได้ตั้งแต่กกระดานสำหรับให้เด็กแสดงสิ่งที่ต้องการ ไปจนถึงคอมพิวเตอร์ที่มีชุดคำสั่งพิเศษ
         - ความอดทนจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี พ่อแม่ ผู้ปกครองไม่ควรละทิ้งความหวังที่จะเห็นพัฒนาการในทางที่ดีของลูก เพราะพวกเขาก็ไม่ได้ต่างไปจากเด็กคนอื่นที่มีโอกาสทั้งชีวิตเพื่อเรียนรู้และเติบโต
         - ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเหลือเด็กตั้งแต่แรกเกิดเพื่อตอบสนองต่อความต้องการและความสามารถของเด็ก รวมทั้งควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางร่วมด้วย เพื่อแก้ปัญหาอย่างครบถ้วน ทั้งปัญหาทางการพูด และความผิดปกติประเภทอื่นๆ ซึ่งเกิดต่อร่างกาย พร้อมทั้งใช้เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกร่วมด้วย

...เพื่อครู...
     สำหรับเด็กที่มีความพิการ ภาพลักษณ์ของตนเอง (Self-image) ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ครูจำเป็นต้องมั่นใจว่าเด็กมองตัวเองในแง่บวก เด็กพิการทางร่างกายรู้ว่าตนเองมีสภาพร่างกายที่ต่างไปจากคนอื่น รวมทั้งรู้ว่าอะไรบ้างที่ตนทำไม่ได้ เพื่อนเด็กสามารถกลายเป็นความโหดร้ายของเด็กที่มีความพิการ โดยการล้อเลียน แสดงท่าทีดูถูก และกีดกันเด็กจากการเล่นหรือทำกิจกรรมกลุ่ม อย่างไรก็ตามเด็กพิการซ้อนย่อมอยากจะสามารถทำได้ดี และเข้าร่วมทุกกิจกรรมได้ไม่ต่างจากเด็กปกติ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งครู เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนเด็กให้มีพัฒนาการที่ดีอย่างที่เขาคาดหวัง ซึ่งวิธีการที่ครูจะสามารถช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาเด็กพิการซ้อนได้ มีดังนี้
          - เด็กพิการซ้อนย่อมปรารถนาซึ่งความเป็นปกติและได้รับการยอมรับไม่ต่างไปจากเด็กปกติ โดยครูควรสนใจและสังเกตสิ่งที่เด็กสามารถทำได้หรือทำไม่ได้
          - ค้นหาสิ่งที่เด็กสามารถทำได้ดีและต่อยอดความสามารถนั้น เพื่อช่วยให้เด็กรู้สึกว่าตนประสบความสำเร็จได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป ตั้งความคาดหวังให้สูงเข้าไว้ เพราะเด็กพิการซ้อนก็สามารถพัฒนาได้
          - เด็กที่มีปัญหาในเรื่องสมาธิ จะได้รับประโยชน์จากการทำงานที่มีเวลาจำกัด เพราะถือเป็นการช่วยให้เด็กได้จัดการตนเอง อย่างไรก็ตาม ครูไม่ควรลืมว่าเขาจะเขียนได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป จึงอาจจำเป็นต้องลดปริมาณงานหรือการบ้านสำหรับเด็กกลุ่มนี้
          - ครูควรหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมที่เด็กแสดงออก ซึ่งอาจบ่งบอกถึงภาวะความเครียดหรือซึมเศร้า เช่น เด็กอาจแสดงออกถึงลักษณะดังต่อไปนี้ในระดับที่มากขึ้น เช่น สับสน ไม่เป็นระเบียบ ขาดความกระตือรือร้น และปลีกตัวอยู่คนเดียว รวมทั้งมีอาการเหนื่อยเรื้อรัง หรืออาจแสดงสัญญาณที่อาจนำไปสู่ความคิดอยากฆ่าตัวตาย ดังนั้นครูไม่ควรวางใจ แม้เด็กจะบอกว่า “ไม่เป็นไร” ก็ตาม
          - ไม่เพิกเฉยต่อการกระทำหยาบคายของเด็กคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการดูถูกด้วยคำพูดหรือการกระทำ
          - ใช้โอกาสเมื่อเด็กพิการซ้อนไม่อยู่ในห้องเรียน สำหรับสอนเด็กทุกคนอย่างจริงจังถึงความจริงเกี่ยวกับความพิการ เพื่อให้เด็กตระหนักถึงความผิดปกติที่ควรได้รับการช่วยเหลือ พร้อมทั้งเพื่อกระตุ้นให้เด็กยอมรับและเคารพเด็กพิการด้วยทัศนคติที่ดี
          - ไม่ควรแสดงออกว่าสงสารเด็ก เพราะพวกเขาไม่ได้ต้องการความสงสารหรือเวทนา
          - ชมเชยรูปลักษณ์ของเด็กเป็นประจำ เช่น ทรงผม การแต่งกาย เป็นต้น
          - ปรับรูปแบบกิจกรรมและอำนวยความสะดวกแก่เด็ก เพื่อให้เด็กสามารถเข้าร่วมกิจกรรมร่วมกับเพื่อนทุกคนได้เช่นกัน
          - หาโอกาสคุยกับเด็กตัวต่อตัวเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเขาว่าครูพร้อมจะช่วยเหลือเขาเสมอ