วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา


^...เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา...^

ลูกมีความบกพร่องทางสติปัญญา
       เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Mental Retardation) หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องในการทำงานของกระบวนการทางปัญญา (cognitive functioning) และมีปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรมการปรับตัว (adaptive behaviors) ตั้งแต่ 2 ประการขึ้นไป ในอดีตได้กำหนดให้เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาคือเด็กที่มีระดับ IQ หรือ ความฉลาดทางสติปัญญาต่ำกว่า 70 คะแนน (IQ ของคนปกติจะอยู่ที่ประมาณ 100 คะแนน) อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาคำจำกัดความของความบกพร่องทางสติปัญญานั้นจะรวมทั้งเรื่องของการทำงานของกระบวนการทางปัญญา และทักษะความสามารถในการทำสิ่งต่างๆของบุคคลในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ดังนั้นผู้ที่มีระดับความฉลาดทางสติปัญญาต่ำกว่าค่ามาตรฐานเพียงอย่างเดียว จึงไม่เรียกว่าเป็นผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา อนึ่ง Syndromic mental retardation คือ ภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกี่ยวโยงกับลักษณะ อาการ ความผิดปกติทางการแพทย์และทางพฤติกรรมอื่นๆ ส่วน Non-syndromic mental retardation เป็นภาวะความบกพร่องทางสติปัญญาที่ไม่มีความผิดปกติอื่นๆ ปรากฏร่วมด้วย

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
           ลักษณะที่เป็นปัญหาของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา จะเห็นได้จากพฤติกรรมของเด็ก หากดูจากภายนอก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะดูไม่เหมือนกับผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากความบกพร่องนั้นเกิดขึ้นจากปัจจัยทางสภาพแวดล้อม เช่น การขาดสารอาหาร หรือ การได้รับสารพิษจากตะกั่ว ลักษณะทั่วไปภายนอกของผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญานั้น จะแสดงออกให้เห็นเพียงไม่กี่กรณี ซึ่งทั้งหมดจะมีความเกี่ยวข้องกับ Syndromic mental retardation
           เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาจะเรียนรู้เกี่ยวกับการลุกขึ้นนั่ง การคลาน หรือการยืน ช้ากว่าเด็กทั่วไป และเด็กก็อาจจะเรียนรู้ในการพูดช้ากว่าเด็กโดยทั่วไปเช่นกัน ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาอาจแสดงพฤติกรรมดังต่อไปนี้
  • - มีพัฒนาการในการพูดที่ล่าช้า
  • - มีทักษะในด้านความจำที่ไม่ดี
  • - เรียนรู้เกี่ยวกับกฎของสังคมได้ยาก
  • - มีปัญหาเกี่ยวกับทักษะการแก้ปัญหา
  • - มีพัฒนาการทางด้านพฤติกรรมการปรับตัวที่ล่าช้า เช่น ทักษะการช่วยเหลือตัวเอง และทักษะการดูแลตัวเอง
  • - ขาดทักษะทางสังคม
          เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเรียนรู้ได้ช้ากว่าเด็กทั่วไป เด็กอาจใช้เวลานานกว่าในการเรียนภาษา การพัฒนาทักษะทางสังคม และการดูแลตนเอง เช่น การแต่งตัว หรือการรับประทานอาหาร เด็กเหล่านี้จะใช้เวลานานในการเรียนรู้ ต้องมีการทำซ้ำๆหลายครั้ง และการเรียนรู้ทักษะต่างๆ นั้นต้องมีการปรับให้เข้ากับระดับการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน อย่างไรก็ตาม เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และมีส่วนร่วมทางสังคมได้
         ในเด็กเล็ก ความบกพร่องทางสติปัญญาระดับเล็กน้อย (mild mental retardation) คือ มีระดับ IQ หรือความฉลาดทางสติปัญญาอยู่ที่ 50-69 หรือราวๆ ครึ่งหนึ่งถึงสองในสามของค่ามาตรฐาน อาจยังแสดงอาการไม่ชัดเจนและตรวจสอบไม่พบจนกระทั่งเด็กเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียน ถึงแม้เด็กจะมีความสามารถทางการศึกษาที่ไม่ดี แต่ก็ต้องใช้การประเมินที่อาศัยความเชี่ยวชาญในการแยกเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาออกจากเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ หรือความบกพร่องทางอารมณ์ และพฤติกรรม ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อยสามารถเรียนรู้ทักษะการอ่าน และทักษะทางคณิตศาสตร์ ได้เทียบเท่ากับเด็กทั่วไปที่มีอายุระหว่าง 9 ถึง 12 ปี พวกเขาสามารถเรียนรู้การดูแลตัวเอง และทักษะต่างๆที่ใช้ได้จริง เช่น การทำอาหาร หรือการใช้ระบบขนส่งมวลชนของท้องถิ่น เมื่อเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ หลายๆคนสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยตนเอง และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้
         เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง (moderate mental retardation) คือมี IQ หรือระดับความฉลาดทางสติปัญญาอยู่ที่ 35-49 ส่วนใหญ่มักจะเห็นถึงความบกพร่องทางสติปัญญาได้ชัดเจนภายในอายุ 1 ปี โดยสัญญาณที่บ่งบอกถึงความบกพร่องทางสติปัญญาในระดับปานกลางก็คือ การที่เด็กจะพูดได้ช้า ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในระดับปานกลางจึงมีความต้องการความช่วยเหลือที่มากขึ้น ทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน และในสังคม เพื่อให้พวกเขาได้มีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มที่ แม้ความสามารถทางการศึกษาของผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในระดับปานกลางจะมีจำกัด พวกเขาสามารถเรียนรู้ทักษะทางด้านสุขภาพ และทักษะด้านความปลอดภัยที่ง่ายๆ หรือทักษะด้านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมง่ายๆได้ เมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาอาจอยู่กับพ่อแม่ หรืออยู่ในสถานที่ที่ออกแบบให้ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้พำนัก หรือแม้แต่การอยู่ด้วยตัวเองส่วนหนึ่ง และมีผู้อื่นช่วยในเรื่องอื่นๆ เช่น ในเรื่องการจัดการด้านการเงิน พวกเขายังสามารถทำงานได้ในองค์กร หรือหน่วยงานที่มีการจ้างผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเข้าไปทำงาน
         สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในระดับรุนแรง/สูง (severe/profound mental retardation) พวกเขาต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดชีวิตของพวกเขา โดยผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในระดับสูง อาจเรียนรู้กิจกรรมในชีวิตประจำวันบางอย่างได้ แต่ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในระดับสูงบางคนอาจต้องการการดูแลตลอดเวลา
      สาเหตุความบกพร่องทางสติปัญญา
          สำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาตั้งแต่วัยเด็กนั้น ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ราวหนึ่งในสามถึงครึ่งหนึ่งของกรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตาม กลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) กลุ่มอาการเวโลคาร์ดิโอเฟเชียล (Velocardiofacial syndrome) และกลุ่มอาการของทารกที่ถือกำเนิดจากมารดาที่ดื่มแอลกอฮอล์ (Fetal alcohol syndrome) คือสามสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญาตั้งแต่แรกเกิด ถึงกระนั้น ทางการแพทย์ได้มีการค้นพบสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย ดังนี้
                สภาพทางพันธุกรรม ในบางครั้งความบกพร่องมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ซึ่งความผิดปกติอาจเกิดขึ้นได้เมื่อยีนส์ของพ่อและแม่รวมเข้าด้วยกัน หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ความผิดปกติของลักษณะทางพันธุกรรมที่พบมากในปัจจุบันนั้นรวมไปถึงกลุ่มอาการดาวน์ (Down syndrome) กลุ่มอาการเวโลคาร์ดิโอเฟเชียล (Velocardiofacial syndrome) และกลุ่มอาการของทารกที่ถือกำเนิดจากมารดาที่ดื่มแอลกอฮอล์ (Fetal alcohol syndrome) ซึ่งเกิดได้มากในเด็กผู้ชาย โรคท้าวแสนปม (Neurofibromatosis) ภาวะพร่องไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด (Congenital hypothyroidism) กลุ่มอาการวิลเลี่ยม (Williams syndrome) ฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) หรือ PKU และกลุ่มอาการเพรเดอร์-วิลลี (Prader-Willi syndrome) โรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่นๆยังรวมไปถึงกลุ่มอาการพรีแลน-แมคเดอร์มิด (Phelan-McDermid syndrome (22q13del), กลุ่มอาการโมวัท-วิลสัน (Mowat-Wilson syndrome) และชนิดของ Siderius หรือความบกพร่องทางสติปัญญาจากการถ่ายทอดทางโครโมโซม X แบบลักษณะด้อย ซึ่งเกิดจากการผ่าเหล่าในยีนส์ชนิด PHF8 ความผิดปกติของโครโมโซม X หรือ โครโมโซม Y ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดความบกพร่อง แต่สำหรับกรณีดังกล่าว ถือได้ว่ามีความเป็นไปได้ต่ำที่สุด ความผิดปกติของโครโมโซม 48,XXXX และ 49,XXXX ส่งผลกระทบต่อเด็กผู้หญิงทั่วโลกจำนวนหนึ่ง ส่วนเด็กผู้ชายจะได้รับผลกระทบจากความผิดปกติของโครโมโซม 47,XYY, 49,XXXXY หรือ 49,XYYYY
                ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์ ความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถเกิดได้จากการที่ทารกในครรภ์ไม่ได้เจริญเติบโตอย่างถูกต้องเหมาะสม ตัวอย่างเช่น อาจเกิดปัญหาในระหว่างการแบ่งเซลล์ของตัวอ่อนในครรภ์ระหว่างการเจริญเติบโต มารดาที่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือป่วยเป็นโรคหัดเยอรมันระหว่างการตั้งครรภ์ อาจให้กำเนิดบุตรที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้
                ปัญหาระหว่างการคลอด หากทารกเกิดปัญหาระหว่างการทำคลอด หรือหลังการคลอด เช่น ทารกได้รับออกซิเจนในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจก่อให้เกิดความบกพร่องเนื่องจากสมองถูกทำลาย
                การที่เด็กได้รับสารพิษ หรือป่วยเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคไอกรน โรคหัด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สามารถก่อให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา หากได้รับการรักษาที่ล่าช้า หรือการได้รับการรักษาที่ไม่เพียงพอ การที่เด็กได้รับสารพิษ เช่น สารตะกั่ว หรือ สารปรอท อาจก่อให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญาได้เช่นกัน
                การขาดสารไอโอดีน เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญาที่สามารถป้องกันได้ ซึ่งเกิดในประเทศกำลังพัฒนา เนื่องจากปัญหาปริมาณไอโอดีนขาดแคลนในบางท้องถิ่น ปัญหานี้ได้ส่งผลกระทบต่อประชากรราวๆสองล้านล้านคนทั่วโลก การขาดสารไอโอดีนก็ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคคอพอกอีกด้วย ความบกพร่องทางสติปัญญาที่เกิดจากการขาดสารไอโอดีนที่รุนแรง จะทำให้สติปัญญาแย่ลง หรืออาจทำให้กลายเป็นโรคเอ๋อ หรือเครทินิซึม บางพื้นที่ในโลกที่ประสบปัญหาขาดแคลนสารไอโอดีนโดยธรรมชาติ และรัฐบาลมีความเฉื่อยชาในการแก้ปัญหา ประชากรจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เช่น ในประเทศอินเดีย ซึ่งมีประชากรกว่า 500 ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากความบกพร่องทางสติปัญญา ประชากรกว่า 54 ล้านคนเป็นโรคคอพอก และประชากร 2 ล้านคนเป็นโรคเอ๋อ หรือเครทินิซึม ประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนสารไอโอดีน เช่น ประเทศจีน และประเทศคาซัคสถานได้มีการจัดทำโครงการให้ประชากรได้บริโภคเกลือที่ประกอบด้วยไอโอดีนที่มีคุณภาพ
                ภาวะขาดสารอาหาร เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญาในหลายพื้นที่ทั่วโลก อันเนื่องมาจากความขาดแคลนอาหาร เช่น ในประเทศเอธิโอเปีย
                การขาดเส้นใยประสาทขนาดใหญ่ ที่เรียกว่า อาร์คูเอท ฟาสซิคูลัส

ความสำคัญของปัญหาความบกพร่องทางสติปัญญา
        ในการให้คำจำกัดความของความบกพร่องทางสติปัญญานั้น ความบกพร่องทางสติปัญญาถือว่าเป็นความพิการมากกว่าการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ความบกพร่องทางสติปัญญามีความแตกต่างจาก อาการป่วยทางจิต เช่น โรคจิตเภท (โรคความคิดผิดปกติ ที่ผู้ป่วยมีความคิดและการรับรู้ไม่ตรงกับความเป็นจริง) หรือ โรคซึมเศร้า แม้ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีรักษาความบกพร่องทางสติปัญญาอันเป็นที่ยอมรับ แต่ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถเรียนรู้ที่จะทำหลายๆ สิ่งได้ด้วยตนเอง หากมีการช่วยเหลือ และการสอนที่เหมาะสม
        อย่างไรก็ตาม ปัญหาเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ และควรได้รับการแก้ไข เนื่องจากเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญามักประสบปัญหาเกือบทุกด้านในการดำรงชีวิตประจำวัน และพ่อแม่ผู้ปกครองก็ต้องได้รับความลำบากในการเลี้ยงดูบุตรที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เนื่องจากเด็กต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษกว่าเด็กโดยทั่วไป
        ในปัจจุบันนี้มีหน่วยงานกว่าพันหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรไม่แสวงผลกำไร ภายในองค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ อาจประกอบไปด้วยบ้านพักสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล โปรแกรมช่วยฟื้นฟูผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่ทำงานที่ผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถเข้าไปทำงานได้ โปรแกรมช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาหางานอื่นๆในสังคม โปรแกรมที่ช่วยเหลือผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาในการเลี้ยงดูบุตร และอื่นๆ อีกมากมาย อีกทั้งยังมีองค์กร และโปรแกรมอื่นๆสำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งมีบุตรที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา

สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาลูกที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
           - พ่อแม่ ผู้ปกครองควรเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องความบกพร่องทางสติปัญญาให้ได้มากที่สุด เพราะยิ่งพ่อแม่ ผู้ปกครองมีความรู้มากเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวนี้ ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและลูก
          - สนับสนุนให้ลูกได้ทำอะไรด้วยตนเอง เช่น เรียนรู้การดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว การรับประทานอาหาร การใช้ห้องน้ำ และการดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายหรือผมของตนเองให้เรียบร้อย
          - ให้บุตรของท่านช่วยทำงานบ้าน ทั้งนี้ก็ควรคำนึงถึงอายุ ระยะเวลาที่เด็กจะให้ความสนใจ และความสามารถของบุตรท่านในการมอบหมายงาน จากนั้นอธิบายวิธีการทำงานจากวิธีใหญ่ๆ ให้เป็นวิธีเล็กๆ เช่น ถ้าต้องการให้บุตรของท่านช่วยจัดโต๊ะอาหาร ก่อนอื่นก็ควรถามจำนวนผ้ากันเปื้อนกับเด็กให้แน่นอน ว่าต้องใช้เท่าไหร่ และให้เด็กนำไปวางบนโต๊ะในแต่ละที่ที่สมาชิกในครอบครัวนั่ง และใช้วิธีเดียวกันในการให้เด็กช่วยวางอุปกรณ์อื่นๆที่ใช้บนโต๊ะอาหาร โดยการเริ่มจากขั้นที่หนึ่งใหม่ บอกบุตรของท่านว่าต้องทำอะไรบ้าง เป็นขั้นเป็นตอน จนกว่างานจะเสร็จ สาธิตวิธีการทำงาน หรือให้ความช่วยเหลือแก่บุตร เมื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ พยายามชมบุตรของท่านบ่อยๆว่าทำได้ดีมาก เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจ และทักษะให้แก่บุตรของท่าน
          - หาโอกาสให้บุตรเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในชุมชนของท่าน เช่น กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี กิจกรรมนันทนาการ กิจกรรมกีฬา และกิจกรรมอื่นๆ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้บุตรของท่านได้สร้างทักษะทางสังคม และสนุกไปกับการทำกิจกรรมต่างๆ
          - พูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านอื่นๆที่มีบุตรที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพื่อเป็นการแบ่งปันคำแนะนำต่างๆ และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน โดยพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถติดต่อสอบถามศูนย์ หรือองค์กรที่ทำงานเพื่อเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ในการหาข้อมูลของพ่อแม่ผู้ปกครองท่านอื่นๆที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับท่าน
          - พบปะหารือกับทางโรงเรียน เพื่อพัฒนาปรับปรุงแผนการเรียนให้ตรงกับความต้องการของบุตรท่าน พยายามติดต่อพูดคุยกับครูประจำชั้นของบุตรท่านอย่างสม่ำเสมอ ให้การสนับสนุนแก่โรงเรียน ในการช่วยสอนสิ่งที่บุตรเรียนจากที่โรงเรียน เมื่อบุตรอยู่ที่บ้าน

...เพื่อครู...
          - ครูควรเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องความบกพร่องทางสติปัญญาให้มากที่สุด
          - ระลึกไว้เสมอว่าครูสามารถนำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ชีวิตเด็ก ครูจึงควรค้นหาว่าจุดแข็ง หรือความสนใจของเด็กคืออะไรและเน้นที่สิ่งเหล่านั้น เพื่อสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จให้แก่เด็ก
          - ปรึกษาหารือกับครูท่านอื่นๆ หรือครูที่มีความเชี่ยวชาญด้านการสอน ในการหาวิธีการสอนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดให้แก่เด็ก เช่น การปรับหลักสูตรการเรียนรู้
          - พยายามอธิบายสิ่งที่สอนให้มีความเป็นรูปธรรมมากที่สุด แสดงสิ่งที่ครูอธิบายแทนการอธิบายด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว เช่น การแสดงภาพให้เด็กดู หรือครูอาจให้เด็กลองทำเอง
          - พยายามอธิบายข้อมูลแก่เด็กให้มีความกระชับที่สุด เช่น อธิบายข้อมูลยาวๆด้วยการทำให้เป็นวิธีสั้นๆ สาธิตวิธีการทำ ลองให้เด็กทำ และให้ความช่วยเหลือเด็กเท่าที่จำเป็น
          - แจ้งผลตอบรับแก่เด็กให้เร็วที่สุดว่าเด็กทำได้ดีหรือไม่
          - สอนทักษะชีวิตให้แก่เด็ก เช่น การใช้ชีวิตประจำวัน ทักษะทางสังคม การตระหนักรู้เกี่ยวกับอาชีพต่างๆ และทักษะการสำรวจ ให้เด็กลองทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม หรือกิจกรรมชมรม
         - หารือร่วมกับพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็ก และบุคลากรในโรงเรียนท่านอื่นๆ เพื่อสร้างแผนการเรียนที่ตรงตามความต้องการของผู้เรียน และควรแบ่งปันข้อมูลระหว่างกันเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเด็กทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ

เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์

^...เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์...^













             เด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Children with Behavioral and Emotional Disorders) หมายถึง เด็กที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม (ต่อต้านตนเองหรือผู้อื่น) หรือมีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ (แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ) ออกมาอย่างเนื่องจนถึงระดับที่ส่งผลกระทบต่อการศึกษาของเด็กไม่ว่าจะเพียงลักษณะเดียว หรือหลายลักษณะร่วมกันก็ได้ เช่น มีความยากลำบากในการเรียน ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางด้านสติปัญญา ประสาทสัมผัส หรือสุขภาพ มีความยากลำบากในการสร้างหรือคงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเพื่อนและครู แสดงออกถึงภาวะความเครียดและไม่มีความสุขอย่างเป็นปกติ มีแนวโน้มของอาการทางสุขภาพร่างกาย หรือความกลัวอันเป็นผลของปัญหาที่เกิดกับตัวเด็กเองหรือปัญหาที่เกิดในโรงเรียน ซึ่งปัจจุบันมีผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยที่ต้องเผชิญกับปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ของลูกครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งปัญหาเหล่านั้น ส่วนใหญ่สามารถได้รับการช่วยเหลือหรือแก้ไขได้ หากเด็กได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ปัญหาของเด็กในบางกรณีอาจจะมีความรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณของปัญหาสำคัญที่เด็กกำลังเผชิญอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กเรื้อรังติดต่อกันเป็นเวลานานจนกระทั่งเด็กโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผลเสียที่ตามมาอาจลุกลามไปถึงการสูญเสียของชีวิตก็เป็นได้
        ในปัจจุบัน ประมาณร้อยละ 6 ถึง 10 ของเด็กกำลังประสบภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ (Emotional and Behavioral Disorders) โดยเด็กจำนวนดังกล่าว จำเป็นต้องได้รับการศึกษาพิเศษ รวมทั้งการรักษาที่เหมาะสม เพราะการสอนในห้องเรียนอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำลายข้อจำกัดในการเรียนรู้ของเด็กได้ อีกทั้งตัวเด็กเองยังมักเป็นผู้ขัดขวางการเรียนการสอนในห้องเรียนอีกด้วย ทั้งนี้ ความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์นั้น ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของเด็ก แม้ว่าในความเป็นจริงเด็กกลุ่มนี้ไม่ได้มีความบกพร่องทางสติปัญญาแต่อย่างใดก็ตาม อีกทั้งยังสามารถมีผลการเรียนดีเยี่ยม เพียงแต่จำเป็นต้องได้รับการดูแลและช่วยเหลือเป็นพิเศษ ทั้งนี้ ความหมายของความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์นั้น ครอบคลุมถึงโรคจิตเภท (Schizophrenia) อย่างไรก็ตามความหมายดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้กับเด็กที่มีปัญหาปรับตัวเข้ากับสังคมได้ยาก เว้นเสียแต่ว่าได้รับการรับรองว่าเป็นผลของความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์

ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          ความบกพร่องทางอารมณ์ซึ่งนำไปสู่ความบกพร่องทางพฤติกรรมมีลักษณะที่หลากหลาย ซึ่งจำแนกได้เป็นระดับตั้งแต่เบา (Mild) จนถึงรุนแรง (Severe) นอกจากนี้เด็กยังสามารถแสดงอาการผิดปกติได้มากกว่าหนึ่งลักษณะอีกด้วย ซึ่งตัวอย่างของความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว รวมไปถึงภาวะซึมเศร้า (Depression) ที่ส่งผลกระทบให้เด็ก 2 คนในจำนวน 100 คนมีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป รวมทั้งมีปัญหาทางสุขภาพ และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต นอกจากนี้เด็กยังอาจมีความผิดปกติทางการรับประทานร่วมด้วย โดยลักษณะของปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ในเด็ก สามารถจำแนกได้ตามกลุ่มอาการ ดังนี้
  • ปัญหาด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
    • ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น ทำลายข้าวของ ลักทรัพย์
    • ฉุนเฉียวง่าย มีอารมณ์หุนหันพลันแล่น และเกรี้ยวกราด
    • มีนิสัยกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโทษผู้อื่น และมักโกหกอยู่เสมอ
    • เอะอะและหยาบคาย
    • หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
    • ใช้สารเสพติด
    • หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ
  • ปัญหาด้านความตั้งใจและสมาธิ (Attention and Concentration)
    • มีความสามารถในการจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น (Short attention span) ซึ่งอาจไม่เกิน 20 วินาที และสามารถถูกสิ่งต่างๆ รอบตัวดึงความสนใจได้ทุกเมื่อ
    • มีลักษณะงัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด
  • ภาวะอยู่ไม่สุข (Hyperactivity) และสมาธิสั้น (Attention Deficit)
    • มีลักษณะกระวนกระวาย ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ และหยุกหยิกไปมา
    • พูดคุยตลอดเวลา และมักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นอยู่เสมอ
    • มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ
  • การถอนตัวหรือล้มเลิก (Withdrawal)
    • หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
    • เฉื่อยชา และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
    • ขาดความมั่นใจ ขี้อาย ขี้กลัว ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
  • ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย (Function Disorder)
    • ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน (Eating Disorder) เช่น การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary Regurgitation) การปฏิเสธที่จะรับประทาน รวมถึงนิสัยการรับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
    • โรคอ้วน (Obesity)
    • ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ (Elimination Disorder)
  • ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
    • ขาดเหตุผลในการคิด
    • อาการหลงผิด (Delusion)
    • อาการประสาทหลอน (Hallucination)
    • พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง
สาเหตุที่เด็กมีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          ความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจากความซับซ้อนของความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างปัจจัยทางชีวภาพ จิตใจ สังคม การศึกษา และสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่างเช่น กลไกทางพันธุกรรมซึ่งอาจก่อให้เกิดความผิดปกติได้หลายประการ ซึ่งรวมถึงความเสียหายทางด้านชีวภาพ (Biological insults) ยกตัวอย่างเช่น การบาดเจ็บของร่างกาย หรือการได้รับสารพิษ นอกจากนี้ ปัจจัยทางจิตสังคม เช่น ความจน ความรุนแรง หรือการละเลยของผู้ปกครอง ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมที่อาจเกิดขึ้นกับเด็กได้ ทั้งนี้สาเหตุของปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์สามารถจำแนกได้ดังนี้
                ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology) ถือเป็นปัจจัยที่มีความซับซ้อนอย่างมาก โดยความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์อาจได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม เช่น โรคจิตเภทหรือจิตเสื่อม (Schizophrenia) และภาวะซึมเศร้า (Depression) ซึ่งเด็กที่มีปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ประมาณร้อยละ 20 ถึง 60 นั้น มีสาเหตุมาจากพ่อหรือแม่ที่มีภาวะซึมเศร้า อีกทั้งเมื่อเคมีในร่างกายมีความเชื่อมโยงต่อภาวะซึมเศร้าอันเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมอยู่แล้ว ความเครียดหรือเผชิญเหตุการณ์ที่ตึงเครียดอาจเป็นปัจจัยผลักดันให้เด็กเกิดภาวะซึมเศร้า (Depressive episodes) ได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้การบาดเจ็บทางสมอง (Brain injury) ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์เช่นกัน
                ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychosocial) เนื่องจากโรงเรียนและบ้านเป็นสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่สำคัญสำหรับเด็กที่สุด ดังนั้น สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก อิทธิพลจากคนรอบข้าง รวมถึงปัญหาที่เกิดจากโรงเรียนและบ้าน จึงมีส่วนสำคัญที่อาจนำไปสู่ปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็ก ไม่ว่าจะเป็นความเครียดเรื้อรัง (Chronic stress) อันเกิดจากการทะเลาะกับผู้ปกครอง รายได้ครอบครัวที่น้อย การอาศัยอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม เป็นต้น หรืออาจเกิดจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ตึงเครียดในชีวิต เช่น พ่อแม่แยกทางกัน และการเสียชีวิตของสมาชิกในครอบครัว รวมไปถึงการทารุณกรรมเด็ก (Childhood Maltreatment) ทั้งการใช้ความรุนแรงและการไม่ใส่ใจเด็กของผู้ปกครอง นอกจากนี้ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและโรงเรียน เช่น การชิงดีชิงเด่นระหว่างพี่กับน้อง การถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง หรือการที่ผู้ปกครองมีภาวะซึมเศร้า ล้วนมีส่วนทำให้เด็กมีปัญหาความปกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ได้

ความสำคัญของปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          ความสำคัญในการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ก็มีหลักการเช่นเดียวกับปัญหาอื่นที่พบได้ในเด็ก คือ “ยิ่งเร็วยิ่งดี” โดยหากปัญหาได้รับการตรวจพบยิ่งเร็ว ย่อมส่งผลให้เด็กสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที ซึ่งย่อมจะเพิ่มโอกาสของความสำเร็จของเด็กในการหายขาดจากความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ให้มากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง จึงควรหมั่นสังเกตสัญญาณความผิดปกติแรกเริ่มที่เด็กอาจแสดงออกมา เช่น การมีนิสัยลักขโมย การโกหก หรือการใช้อารมณ์ การใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ทั้งต่อบุคคลอื่น สัตว์ หรือสิ่งของ อีกทั้งพฤติกรรมหมกมุ่นทางเพศที่ไม่เหมาะสม และปัญหาการสูบบุหรี่หรือใช้สารเสพติดในเด็กที่โตขึ้นมา โดยพ่อแม่ไม่ควรนิ่งนอนใจเด็ดขาดหากลูกแสดงออกซึ่งพฤติกรรมทางลบดังกล่าวออกมาให้เห็น เพราะสัญญาณดังกล่าวย่อมบ่งบอกว่าพ่อแม่ควรดูแลลูกให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม หรือหากพ่อแม่เห็นว่าการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเกินความสามารถของตนเอง การพาลูกไปพบจิตแพทย์เด็กถือเป็นทางเลือกที่สำคัญ เนื่องจากอาจเป็นตัวกำหนดอนาคตของลูกได้ เพราะหากเด็กไม่ได้รับการตรวจตั้งแต่เริ่มแรกและได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ก็อาจลุกลามกลายเป็นปัญหาเรื้อรังติดตัวเด็กไปจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น และกลายเป็นปัญหาร้ายแรงเมื่อเด็กเติบโตเป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฆ่าตัวตาย ซึ่งถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 ของในกลุ่มคนอายุ 15-24 ปี ทั้งนี้กว่าร้อยละ 95 ของผู้ที่ฆ่าตัวตายนั้น ได้รับการตรวจพบว่ามีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          การบำบัดและการใช้ยา ถือเป็นวิธีการรักษาโดยทั่วไปสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ โดยเด็กและครอบครัวสามารถได้รับประโยชน์จากการบำบัดหลากหลายรูปแบบร่วมกัน เช่น ครอบครัวบำบัด (Family Therapy) ซึ่งเน้นการพูดคุยกันของสมาชิกในครอบครัว ในขณะที่การบำบัดทางปัญญาพฤติกรรม (Cognitive Behavior Therapy) มุ่งไปที่การเปลี่ยนแบบแผนความคิดของเด็ก นอกจากนี้ การเล่นบำบัด (Play Therapy) จะช่วยให้เด็กเรียนรู้วิธีการจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกได้ สำหรับการใช้ยานั้นก็สามารถแก้ไขปัญหาความบกพร่องลักษณะต่างๆ ของเด็กได้ตามประเภทของยา ได้แก่ ยาต้านอาการซึมเศร้า (Antidepressant) ยากระตุ้น (Stimulant) ยาควบคุมอารมณ์ (Mood Stabilizer) และยารักษาภาวะวิตกกังวล (Anti-anxiety Drug)

สิ่งที่พ่อแม่ ผู้ปกครองสามารถช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาลูกที่บกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
          ความร่วมมือของพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นสิ่งสำคัญที่จะผลักดันให้การรักษาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ของลูกสัมฤทธิ์ผล โดยพ่อแม่ควรปรึกษาจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามร่วมกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นจิตแพทย์ โรงเรียน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครอง มักนำมาซึ่งความสำเร็จเสมอ ทั้งนี้เพราะร้อยละ 60 ถึง 80 ของผู้ป่วยที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ชนิดรุนแรง เช่น โรคจิตเภท (Schizophrenia) โรคซึมเศร้า (Major Depression) และโรคอารมณ์แปรปรวน (Bipolar Disorder) ล้วนมีแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมไปในทางบวกเมื่อได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม พ่อแม่ซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดและมีความสำคัญกับเด็กมากที่สุด จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือหรือแก้ไขปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็ก โดยวิธีการที่ผู้ปกครองควรกระทำต่อลูกเพื่อสนับสนุนการรักษาดังกล่าว ได้แก่
             - พ่อแม่ควรตระหนักถึงบทบาทของตนเอง และความสำคัญของการแก้ไขปัญหาของลูกที่บ้าน โดยการช่วยให้ลูกเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการแสดงออก รวมถึงปรับเปลี่ยนทัศนคติ
             - ชี้ให้ลูกเห็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่ลูกแสดงออก และแสดงตัวอย่างการกระทำที่เหมาะสมให้ลูกเห็น พร้อมทั้งสนับสนุนให้เขาปฏิบัติตาม
             - ตั้งกฎภายในบ้านให้ชัดเจน และบังคับใช้อย่างสมเหตุสมผล โดยระมัดระวังไม่ให้เคร่งครัดจนเกินไป เพราะอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ลูกเครียดหรือรู้สึกกดดัน อันจะนำไปสู่ปัญหาที่เพิ่มมากขึ้น
             - ชมเชยเมื่อลูกสามารถปฏิบัติตามกฎระเบียบในบ้านและในสังคมได้ดี
             - ดูแลลูกด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และความอดทน รวมถึงเคารพการตัดสินใจของลูก เพื่อให้ได้รับความร่วมมือจากเด็กกลับคืนมาเช่นกัน
             - หมั่นสังเกตแนวโน้มของพฤติกรรมของลูก หากลูกมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป พ่อแม่ควรหาสาเหตุของปัญหา เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เช่น ความเครียด ความกลัว หรือภาวะซึมเศร้า เป็นต้น
             - ไม่เป็นต้นเหตุปัญหาของลูก ทั้งนี้เพราะพ่อแม่อาจเป็นสาเหตุสำคัญของความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ของลูกได้ เช่น การทะเลาะกันระหว่างพ่อกับแม่ การหย่าร้าง การเลี้ยงลูกด้วยความเคร่งครัดจนเกินไป และการใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น
             - นอกจากผู้ปกครองควรปรึกษาแพทย์อย่างสม่ำเสมอแล้ว ครูก็คืออีกบุคคลหนึ่งที่สำคัญ ทั้งนี้เพราะการรักษาที่ดำเนินไปอย่างสอดคล้องและต่อเนื่องระหว่างบ้านและโรงเรียน ย่อมสามารถกระตุ้นให้เด็กเรียนรู้พฤติกรรมที่เหมาะสมได้ดียิ่งกว่าเดิม ดังนั้นผู้ปกครองและครูจึงควรพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนปัญหาของเด็กที่พบในบ้านและโรงเรียน และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่าใกล้ชิด

...เพื่อครู...
          - ตั้งกฎเกณฑ์ในห้องเรียนอย่างชัดเจน เพื่อให้เด็กปฏิบัติตาม อันจะเป็นการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่เด็กอาจแสดงออกในห้องเรียนในระดับหนึ่ง
          - ส่งเสริมให้เด็กเห็นคุณค่าของตนเองและมีความเชื่อมั่นในการกระทำสิ่งต่างๆ โดยการหมั่นสังเกตพฤติกรรมของเด็ก หากเห็นว่าเด็กแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม หรือกระทำสิ่งใดได้ดี ครูควรชมเชย เพื่อเป็นการกระตุ้นให้เด็กรู้สึกอยากทำดีต่อไป
          - ให้โอกาสเด็กได้ฝึกความรับผิดชอบ โดยหากเด็กสามารถจัดการสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้ดี ครูควรแจ้งให้เด็กทราบถึงความดีที่เขาได้กระทำ พร้อมทั้งกล่าวชมเชย
          - ใช้เหตุผลในการทำความเข้าใจตัวเด็กและปัญหาของเด็ก เช่น หากเด็กพูดจาหยาบคายกับครูหรือเพื่อน ครูควรวิเคราะห์พฤติกรรมของเด็กอย่างสมเหตุสมผล แล้วจึงดำเนินการต่อไป
          - เมื่อเด็กกระทำผิด หรือไม่เข้าใจวิธีการประพฤติที่ถูกต้อง ครูควรยกตัวอย่างพฤติกรรมให้เด็กเห็นอย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้เด็กสามารถปฏิบัติตามได้ โดยอาจใช้เพื่อนนักเรียนที่มีพฤติกรรมเหมาะสมเป็นตัวอย่าง หรือครูอาจแสดงเป็นตัวอย่างให้เด็กเห็นเองก็ได้เช่นกัน
          - จัดห้องเรียนให้มีบรรยากาศเหมาะสมต่อการเรียนรู้ ปัจจัยเสี่ยงของปัญหาความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ของเด็กที่อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมในห้องเรียนที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะปัญหาของเด็กกับเพื่อน เช่น เด็กถูกเพื่อนกลั่นแกล้ง หรือในทางกลับกัน เด็กอาจเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งเพื่อน ซึ่งเป็นหน้าที่ของครูที่ควรจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิด
         - ติดต่อกับผู้ปกครอง เพื่อแจ้งปัญหาของเด็กที่โรงเรียน และร่วมมือกับผู้ปกครองในการกำจัดปัญหาให้หมดไป

เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย


^...เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหว...^


            เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหว หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติของแขน ขา
หรือลำตัวรวมถึงศรีษะเป็นเด็กที่มีความผิดปกติบกพร่องหรือสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดีเท่าคนปกติแต่ไม่ได้หมายถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นและเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินแม้ว่าดวงตาและระบบการได้ยินเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายก็ตาม เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือเคลื่อนไหวสามารถสังเกตได้ดังนี้
1. ร่างกายเติบโตไม่ปกติ เช่น แขนหรือขาไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ลำตัวเล็กผิดปกติอวัยวะ ผิดรูป เช่น เท้าติด เอวคด หลัง-ลำตัวโค้งงอผิดปกติ แขนขาด้วน

2. กล้ามเนื้อผิดปกติ เช่น แขน-ขา ลำตัวลีบ ไม่มีแรงอย่างคนปกติ
3. ไม่สามารถเคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆ เช่น ไม่สามารถเคลื่อนลำตัว แขน-ขา มือหรือเท้าได้อย่างคนทั่วไป
4. ไม่สามารถนั่ง ยืนได้ด้วยตนเอง
5. ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ เช่น ไม่สามารถรับประทานอาหาร อาบน้ำ ถอด-ใส่เสื้อผ้ได้ด้วยตนเอง

การให้ความช่วยเหลือ
เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวอาจมีความบกพร่องหลายอย่างใน
บุคคลเดียว การฟื้นฟูสมรรถภาพความพิการจึงจำเป็นต้องมีหลายด้านตามสภาพความบกพร่องของเด็กแต่ละบุคคลซึ่งการบำบัดฟื้นฟูต่างๆได้แก่
กายภาพบำบัดเป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายตั้งแต่แรกเริ่มในด้านต่างๆ เช่น การทรงตัว การนั่ง หรือการยืนทรงตัวเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆในลักษณะที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานในการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องต่อไป
กิจกรรมบำบัดเป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายเพื่อเน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุด สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีและเร็วที่สุดสามารถอยู่อย่างปกติสุขเช่นคนทั่วไปโดยเน้นทักษะกล้ามเนื้อย่อย เช่น การรับประทานหาร การทำความสะอาดร่างกาย การแต่งตัวเป็นต้น
อรรถบำบัดหรือการแก้ไขคำพูดในส่วนที่เด็กมีความบกพร่องทางการพูดจะต้องฝึกการควบคุมน้ำลายการกลืน การเคี้ยวอาหารฝึกโดยใช้อุปกรณ์ประเภทเครื่องเล่นที่เกี่ยวกับการออกเสียง เครื่องดนตรีชนิดเป่าการเป่ากระดาษหรืออุปกรณ์ชนิดอื่นๆให้เด็กได้รู้ว่าคนเราพูดเมื่อเวลาหายใจออกเท่านั้น

ศิลปะบำบัดและดนตรีบำบัด
          เป็นกิจกรรมเสริมเพื่อพัฒนาเด็กที่มีความแตกต่างกันในด้านต่างๆให้มีการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพโดยคำนึงถึงความสนุกสนาน ความต้องการธรรมชาติรวมถึงความจำเป็นของเด็กเป็นรายบุคคล

การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายกับเด็กปกติ
          การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหวได้แบ่งระดับของกิจกรรมการเรียนไว้  3 ระดับคือ

1. ระดับก่อนวัยเรียน
จุดมุ่งหมายสำคัญของการให้การศึกษาแก่เด็กที่มีความบกพร่อง
          ทางด้านร่างกายคือ การเตรียมความพร้อมของเด็กเพื่อการเรียนร่วม เด็กที่ได้รับการเตรียมความพร้อมแล้วเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในการเรียนร่วมกับเด็กปกติ ความพร้อมที่ควรจะได้รับการเตรียมในระดับนี้ได้แก่ ความพร้อมในการเคลื่อนไหว การช่วยเหลือตนเอง ทักษะทางสังคมและพัฒนาการทางภาษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว เด็กที่มีคงวามบกพร่องทางด้านร่างกายควรได้รับบริการทางด้านการบำบัดควบคู่กันไป การบำบัดที่จำเป็นได้แก่กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัดและการบำบัดทางภาษา

2. ระดับประถมศึกษา
เด็กอาจเริ่มเรียนรวมกับเด็กปกติในลักษณะของการเรียนร่วมเต็ม
เวลาได้โดยไม่ต้องการการบริการพิเศษเพิ่มเต็ม เช่นเด็กที่ใช้แขนหรือขาเทียม ซึ่งสามารถใช้หรือขาเทียมได้ดี

ระดับสติปัญญาปกติและไม่มีความพิการด้านอื่นเด็กประเภทนี้สามารถเรียนร่วมเต็มเวลาได้ เด็กที่มีความสามารถบกพร่องทางร่างกายอื่นก็สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ หากเด็กได้รับการเตรียมความพร้อมแล้วและทางโรงเรียนจัดบริการเพิ่มเติมให้กับเด็กการพิจารณาจัดเด็กเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติพิจารณาเด็กเป็นรายบุคคล

3. ระดับมัธยมศึกษา
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาเน้นด้านวิชาการและพื้นฐานด้านการ

งานและอาชีพหากเด็กมีความพร้อมควรให้เด็กมีโอกาสเรียนร่วมเต็มเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เด็กที่จะเรียนร่วมได้ดีควรเป็นเด็กที่สามารถช่วยตัวเองได้ในด้านการเคลื่อนไหวและการประกอบกิจวัตรประจำวันมีคงวามสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นและมีพื้นฐานอาชีพใกล้เคียงกับเด็กปกติอย่างไรก็ตามเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายอาจยังต้องการบริการพิเศษ เช่นการบำบัดทางกายภาพ กิจกรรมบำบัด การแก้ไขคำพูดเบื้องต้น
การพิจารณาส่งเด็กเข้าเรียนร่วมจะต้องพิจารณาความสามารถและความพร้อมของเด็กเป็นรายๆไปทั้งนี้เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถและระดับความพร้อมแตกต่างกัน

การประเมินผล

การประเมินผล ควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนและตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพราะบุคคล
มีการประเมินผลระยะสั้นทุกภาคเรียน และมีการประเมินผลระยะยาวอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

- การประเมินผลต้องมีผลสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้ในแผนการศึกษา
- มีกาiเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเด็กให้มากที่สุด เพื่อให้การประเมินผลมีประสิทธิภาพ
- ข้อมุลยังจำเป็นสำหรับการวางแผนระยะยาวอีกด้วย

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน




^...เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน...^



           เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน คือ เด็กที่สูญเสียการได้ยิน ไม่สามารถรับฟังเสียงได้เหมือนเด็กปกติทั่วไป หรือเด็กที่ไม่สามารถได้ยินเสียงได้เทียบเท่ากับบุคคลที่มีความสามารถในการได้ยินปกติที่สามารถรับฟังเสียงด้วยหูทั้ง 2 ข้างตั้งแต่ระดับ 25 เดซิเบลขึ้นไป ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่สูญเสียการได้ยินนั่นเอง
           ความบกพร่องทางการได้ยิน นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยสาเหตุที่ทำให้หูพิการมาตั้งแต่กำเนิดนั้น อาจเป็นจากทางกรรมพันธุ์ หรือในขณะที่แม่กำลังตั้งครรภ์นั้นได้รับเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และซิฟิลิส หรือในขณะที่ตั้งครรภ์ อาจได้รับสารหรือยาที่เป็นอันตราย หรือเกิดอุบัติเหตุในระหว่างตั้งครรภ์ หรือเด็กขาดออกซิเจนเป็นเวลานานในขณะทำคลอด หรือเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เป็นต้น
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมี 2 ประเภท คือ
         เด็กหูตึง คือ เด็กมีการได้ยินเหลืออยู่บ้างสามารถได้ยินได้ไม่ว่าจะใส่เครื่องช่วยฟังหรือไม่ก็ตาม เด็กหูตึงจะมีระดับการได้ยินในหูอยู่ระหว่าง 26-89เดซิเบล ซึ่งคนปกติจะมีระดับการได้ยินอยู่ระหว่าง0-25 เดซิเบล
         เด็กหูหนวก คือ เด็กที่สูญเสียการได้ยินในหูข้างที่ดีตั้งแต่ 90เดซิเบลขึ้นไป ไม่สามารถได้ยินเสียงพูดดัง อาจรับรู้เสียงบางเสียงได้จากการสั่นสะเทือน
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
           คือ มีปัญหาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านภาษา บางคนพูดไม่ชัด และมักหลีกเลี่ยงการสนทนากับผู้อื่น หรือบางคนก็พูดไม่ได้เลย เด็กทีสูญเสียการได้ยินเล็กน้อย อาจพอพูดได้ ส่วนเด็กทีสูญเสียการได้ยินมาก หรือหูหนวก อาจพูดไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการสอนพูดตั้งแต่ในวัยเด็ก แต่เด็กกลุ่มนี้มักจะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับด้านสติปัญญา คือมีระดับสติปัญญาเหมือนกับเด็กปกติทั่วไป เรียนรู้และเข้าใจในเรื่องต่างๆได้ แต่อาจมีปัญหาด้านการเข้าสังคมค่ะ

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เด็กที่มีความบกพร่องทางการองเห็น

^...เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น...^

เด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น

การปรับและพฤติกรรม 
       การปรับตัวของเด็กตาบอดจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เด็กอาศัยอยู่ ได้เอื้อในเรื่องการปรับตัวมากน้อยเพียงใด นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของเด็กในครอบครัว การยอมรับของสังคมและการยอมรับสภาพของตนเองถ้าเด็กได้รับการยอมรับทางสังคมมาก มีความสำเร็จส่วนตัวดี ก็สามารถทำให้เด็กปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้ดียิ่งขึ้น 
หลักการฝึกการเลี้ยงดูและส่งเสริม 
       - การเลี้ยงดูเพื่อให้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่ว 
       - การเลี้ยงดูเพื่อให้มีพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม 
       - การเลี้ยงดูเพื่อส่งเสริมสติปัญญา 
การป้องกันอันตราย 
       - ระวังเกี่ยวกับปลั๊กไฟ ความร้อนและเตาไฟ 
       - ของแหลม ของมีคม ของใช้ที่วางไม่เป็นที่ 
       - การพลัดตกจากที่สูง การลื่นล้ม สิ่งที่เป็นพิษ 
เด็กพิการทางการเห็น 
 ความหมายและประเภทของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น 
       1. เด็กตาบอด เป็นเด็กที่สูญเสียสายตาโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถใช้สายตาในการเรียน 
      2. เด็กที่มองเห็นเลือนลาง ตาบอดเป็นบางส่วน มีการมองเห็นเหลืออยู่มาก จึงมองเห็นได้ลางๆ 20 - 70 ฟุต หรือน้อยกว่านั้น ในสายตาข้างที่ดีหลังจากการช่วยเหลือแก้ไขแล้ว สามารถเรียนได้ 
ลักษณะอาการที่มีความผิดปกติของสายตา 
                 1. มีอาการคันตาเรื้อรัง น้ำตาไหลอยู่เสมอ หรือมีอาการตาแดงบ่อยๆ 
                 2. มักมองเห็นภาพซ้อน วิงเวียนศีรษะ มอไม่เห็นชัดเจนในบางครั้ง 
                 3. เวลามองวัตถุระยะไกลๆ ต้องขยี้ตา หรือทำหน้าย่น ขมวดคิ้ว 
            4. เวลาเดินต้องมองอย่างระมัดระวัง หรือเดินช้าๆ โดยกลัวจะสะดุดสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ขวางหน้า 
                 5. ไม่มีความสนใจดูภาพที่ติดตามฝาผนัง หรือข้อความที่เขียนบนกระดานดำ 
                 6. มักขยี้ตาบ่อยๆ กระพริบตาบ่อย อ่านหนังสือได้ระยะเวลาสั้น 
                 7. สายตาสู้แสงสว่างไม่ได้ 
การช่วยเหลือ 
       การเตรียมความพร้อมด้านความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและการเคลื่อนไหว เช่น การใช้สายตา การฟังเสียง การสัมผัส การดมกลิ่น เป็นต้น การเตรียมความพร้อมในการช่วยตนเอง เช่น การทานอาหาร การแต่งกาย 
ลักษณะของคนตาบอด 
            คนที่จัดว่าตาบอด คือ บุคคลที่มองอะไรไม่เห็นเลย ไม่สามารถอาศัยสายตาในการศึกษาเล่าเรียนได้เป็นบุคคลที่มองเห็นได้ในระดับ 20/200 คือมองเห็นได้ในระยะ 20 ฟุต ในขณะที่คนธรรมดามองเห็นได้ในระยะ 200 ฟุต 
                Abel ได้จำแนกให้เห็นถึงความสามารถในการมองเห็นของคนตาบอดไว้ 5 จำพวก คือ 
ตาบอดสนิท (Total Blindness) คือ คนที่มองเห็นได้ไม่มากกว่า 2/200 และไม่สามารถมองเห็นการโบกมือในระยะห่าง 3 ฟุต ได้เลย 
          ผู้มองเห็นได้ในระยะ 5/200 แต่ไม่สามารถนับนิ้วมือได้ในระยะห่างออกไป 1 ฟุต 
          ผู้มองเห็นได้ในระยะ 10/200 แต่ไม่อาจอ่านพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ได้ สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวได้บ้าง 
          ผู้มองเห็นได้ในระยะ 20/200 สามารถอ่านพาดหัวหนังสือพิมพ์ตัวโตๆได้ แต่อ่านได้ไม่เกิน 14 จุด 
          ผู้มองเห็นได้ในระยะ 20/200 สามารถอ่านได้ 10 จุด แต่ไม่สามารถใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ 
ประเภทของผู้ที่มีปัญหาทางสายตา 
      Lowenfeld (1955) ได้จำแนกผู้บกพร่องทางสายตาออกเป็น 6 ประเภท คือ 
             1. พวกที่บอดสนิทโดยกำเนิดหรือบอดภายหลังอายุครบ 5 ขวบ 
             2. ภายหลังมีอายุ 5 ขวบไปแล้วจึงบอดสนิท 
             3. พวกที่มองเห็นอย่างเลือนลางมาตั้งแต่กำเนิด 
             4. ตาบอดไม่สนิทโดยกำเนิด 
             5. ตาบอดไม่สนิทแต่ต่อมาเกิดบอดสนิท 
             6. พวกที่พอมองเห็นบ้าง แต่ต่อมาบอดสนิท 
      เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตาโดยทั่วไปจะเคลื่อนไหวช้าประสาทสัมผัสบางส่วนจะทำงานได้ดีกว่าคนปกติเช่น ประสาทหู และความสามารถด้านความจำส่วนสุขภาพโดยทั่วไปจะไม่แตกต่างจากเด็กปกติ รวมทั้งการพูดจาก็จะใช้ภาษาพูดตามปกติแต่จะเรียนการพูดได้ช้ากว่าเด็กปกติ เด็กตาบอดจะพูดเสียงดัง แต่น้ำเสียงปกติจะไม่มีการใช้มือประกอบท่าทางการพูด และเวลาพูดจะเผยอริมฝีปากเล็กน้อย 
อาการที่บอกถึงความผิดปกติของสายตา (symptoms of Visual Impairment) 
           1. มีอาการคันตาเรื้อรัง มีน้ำตาไหลอยู่เสมอ หรือตาแดงอยู่บ่อยๆ 
           2. มักมองเห็นภาพซ้อน วิงเวียนศีรษะ มองเห็นไม่ชัดในบางครั้ง 
           3. เวลามองวัตถุไกลๆ ต้องขยี้ตา หรือทำหน้าย่นขมวดคิ้ว 
           4. เวลาเดินต้องมองอย่างระมัดระวังหรือเดินช้าๆ โดยกลัวจะสะดุดสิ่งที่ขวางหน้า 
           5. ไม่มีความสนใจดูภาพที่ติดตามฝาผนัง หรือข้อความที่เขียนบนกระดานดำ 
           6. มักบ่นเรื่องสายตาอยู่เสมอ 
           7. ไม่ชอบการทำงานที่ต้องใช้สายตา 
           8. กระพริบตาบ่อยๆ ขณะอ่านหนังสือ 
           9. วางหนังสือในลักษณะผิดปกติขณะอ่านใกล้หรือไกลเกินไป 
         10. ขณะอ่านต้องเอียงศีรษะ 
         11. อ่านหนังสือได้ในระยะเวลาสั้น 
         12. ขณะอ่านหนังสือต้องปิดตาข้างใดข้างหนึ่ง 
         13. สายตาสู้แสงสว่างไม่ค่อยได้ 
สาเหตุของความบกพร่องทางสายตา (Causes of Umpaired Vision) 
      สาเหตุโดยทั่วไปของความบกพร่องทางสายตาเกิดได้จากการใช้ยาหยอดตาพร่ำเพรื่อ ใช้เองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ อาจเกิดเป็นต้อหินได้ อาจเกิดได้จากการเป็นโรคเนื้องอกที่ตาหรือได้รับบาดเจ็บที่ตาอันมาจากอุบัติเหตุต่างๆ หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ซึ่งพอสรุปได้ สาเหตุใหญ่ๆ ด้วยกันคือ 
            - เกิดจากการได้รับบาดเจ็บเกี่ยวกับตา 
            - เกิดจากพันธุกรรม 
     Kerby (1958) ได้ศึกษาพบว่าเด็กตาบอดประมาณ 14 - 15 % มีสาเหตุมาจากพันธุกรรมสาเหตุของความบกพร่องทางสายตา อันเกิดจากพันธุกรรมนั้น ได้แก่ ความผิดปกติของดวงตา ทำให้กลายเป็นคนสายตาสั้นหรือสายตายาวได้ 
การปรับตัวส่วนตัวและการปรับตัวทางสังคมของเด็กตาบอด(Personal and Social Adjustment) 
     การปรับตัวของเด็กตาบอดไม่ว่าจะเป็นด้านส่วนตัวหรือทางสังคมขึ้นอยู่กับฐานะทางเศรษฐกิจของเด็กแต่ละคน คือ เด็กที่มีฐานะดี ก็จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี ส่วนเด็กที่ครอบครัวยากจน ขาดความอบอุ่น ตามปกติ เด็กตาบอดมักจะไม่คิดว่าตนเองอยู่ในโลกมืดไม่เศร้าเสียใจ กับความบกพร่องทางสายตาของตนเท่าไรนัก มีบางคนเท่านั้นที่มีความรู้สึกหดหู่ที่มองไม่เห็นเนื่องมาจากได้ยินคำบอกเล่าหรือคำพูดเปรียบเทียบ ความสุขของเด็กตาบอดขึ้นอยู่กับ 3 ประการ คือ 
           1. การยอมรับของสังคม 
           2. ความสำเร็จส่วนตัว 
           3. การยอมรับสภาพของตน 
     การเป็นอยู่ของคนตาบอดมักไม่เกี่ยวข้องกับคนปกติมากนัก กิจกรรมของพวกเขามักเป็นกิจกรรมซ้ำๆ เช่น การร้องเพลง คนตาบอดมักร้องเพลงได้ดี คนปกติทั่วไปมักเข้าใจว่า คนตาบอดจะสติปัญญาทึบ หรือมีลักษระเป็นคนไร้ความสามารถซึ่งความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้นเลย พัฒนาการทางด้านร่างกาย ความบกพร่องทางสายตาไม่ได้มีอิทธิพลต่อความเจริญเติบโตของเด็ก นำหนัก ส่วนสูง เหมือนคนปกติจะเสียเปรียบตรงที่การกระทำที่ต้องใช้ทักษะต่างๆ ซึ่งคนตาบอดมักได้รับการฝึกฝนใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ การมองไม่เห็น ทำให้เด็กคลานช้า เดินช้า และขาดการฝีกฝนในกิจกรรมที่ต้องใช้ความรวดเร็วทุกชนิดเช่น การขี่จักรยาน การเล่นฟุตบอล หรือกีฬาอื่นๆ 
พัฒนาการทางสมอง 
      เด็กตาบอดจะเสียเปรียบเพราะขาดการรับรู้ทางสายตา เป็นเหตุให้พัฒนาการทางสมองช้าไปด้วย แต่ความสามารถทางสมองของพวกเขาไม่ได้ลดหรือเพิ่ม อันเนื่องมาจากการมองไม่เห็นแต่อย่างใด เพียงแต่สติปัญญาของเด็กตาบอดไม่อาจพัฒนาได้ดีได้จนถึงที่สุดเท่านั้น ได้ทำการทดสอบวัดของเด็กตาบอดจากโรงเรียนต่างๆ สรุปไว้ว่า เด็กตาบอดนั้นยังคงมีความสามารถทางสมองเป็นปกติ 
พัฒนาทางการทางอารมณ์ 
      เด็กตาบอดมีความต้องการเช่นเดียวกับคนปกติทุกประการ แต่จะมีช่วงที่สร้างความปั่นป่วนให้คนตาบอดมากคือ เมื่อต้องพึ่งพาผู้อื่นในด้านสายตาเพราะเขาทำเองไม่ได้ ิต่อมาระยะที่เขาจำเป็นต้องหางานทำ ความวิตกกังวลในการดำรงชีวิตต่อไปโดยให้ได้รับความปลอดภัย และเกิดเป็นความหวาดกลัวที่จะไปไหนมาไหน กลัวอันตรายต่างๆ 
พัฒนาการทางสังคม 
      การมองไม่เห็นมีอิทธิพลต่อพัฒนาการทางสังคมของเด็กตาบอดมาก พวกเขาต้องการที่จะเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ มากกว่าเด็กธรรมดาเพื่อเขาจะได้ไม่ว้าเหว่ ต้องการเรียนรู้การเป็นผู้ให้และผู้รับด้วยเพื่อทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขเช่นเดียวกับเด็กทั่วไป